(ประมาณปี พ.ศ.2539)
ในตอน คอรัส ไม่ได้รับเชิญ ท่านคงสงสัยว่า
มันเกิดอะไรขึ้น ที่มาที่ไปมันคืออะไร
ได้ไปสอบถามจากเพื่อนบ้านที่อยู่มานานมากกว่าผมหรือเปล่า? ฯลฯ จริงๆผมก็อยากจะเฉลย
แต่คงต้องรบกวนท่านทั้งหลายอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ก่อน
หลังจากเหตุการณ์ คอรัส ไม่ได้รับเชิญ
ผ่านไปได้ไม่นาน ช่วงเวลานั้นผมพยายามไม่คิด ข่มจิตข่มใจ จนจะพาลลืมไปได้จริงๆ
คืนหนึ่งเจ้ากรรมก็ทำเหตุ โดยปกติที่ชอบมีอะไรมาไหวที่หางตาให้คาใจก็เป็นประจำอยู่
ทุกวันนี้ก็ยังมี แต่คืนนั้นที่จะเล่าต่อไปนี้ เด็ดกว่า
คืนนั้นก็เหมือนคืนอื่นๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
กลับจากทำงานประจำตอนกลางวัน(ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นทำงานที่กรุงเทพ
หรือเป็นการกลับมาจากการทำงานต่างจังหวัดเป็นประจำสุดสัปดาห์เพราะเวลาคาบเกี่ยวกัน
สภาพแวดล้อมเงียบเชียบเหมือนเคย โทรทัศน์
และเครื่องเล่นซีดีคือเพื่อนชั้นเยี่ยมยามพักผ่อน จนดึกแล้ว เริ่มง่วงนอน
ผมกางโซฟาเบด ดับไฟ ขึ้นไปกลิ้งเกลือกเถือกไถล และกดรีโมทโทรทัศน์เพื่อตั้งเวลาให้ปิดหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง
ผมหลับไปเมื่อไรไม่รู้เลย หลับลึก ไม่ฝัน มารู้สึกตัวอีกที
เหมือนมีใครมาหายใจข้างๆหูด้านขวา เสียงลมดัง แรง แรงจนผมของผมปลิวมากระทบใบหน้าบริเวณแก้ม
ผมตื่นขึ้นและคิดว่า คงฝันไป ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยเพราะความง่วง
ผมหลับต่อได้อย่างรวดเร็ว นานเท่าไรไม่แน่ใจ เอาอีกแล้ว ลมหายใจนั้นทำให้ผมตื่น
ผมเริ่มตั้งข้อสังเกต เครื่องปรับอากาศอยู่ในตำแหน่งปลายเท้า
เครื่องฟอกอากาศก็อยู่ไกล ลมแผ่วๆของมัน ไม่สามารถมาถึงผมได้เลย ผมยังคงคิดว่า
“ผมฝันไป” ผมค่อยๆหลับตา ปล่อยใจสบายๆให้ได้หลับ
แต่ครั้งนี้มันยากกว่าครั้งที่แล้ว ในระหว่างที่เคลิ้มๆอยู่นั้น ผมรู้สึกถึงลม
ลมหายใจของใครบางคนมากระทบบริเวณหู ผมของผมปลิวมากระทบใบหน้าเป็นจังหวะ
จังหวะเดียวกับลมหายใจนั้น ผมหลุดจากอาการเคลิ้ม ผมยังหลับตา จับความรู้สึก
ลมนั้นยังอยู่ และผมไม่ได้ฝัน ตอนนั้นผมกลัวมาก กลัวจนไม่กล้าลืมตา จังหวะของลมหายใจ
ยังคงกระทบใบหู ในระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจจะเปิดเปลือกตา ลมนั้นก็หายไป
ผมจึงหลับตาต่อไป แต่ไม่ตั้งใจจะนอนแล้ว นอนไม่ได้หรอกครับ
ในสมองครุ่นคิดเรื่องอะไรเต็มไปหมด แล้วลมนั้น เสียงนั้นก็มาอีก
ในความกลัวถึงขีดสุดความระห่ำก็เข้ามาแทนที่ ผมตัดสินใจลืมตา
และหันไปมองอย่างรวดเร็ว คิดในใจว่า “เจอก็เจอ รู้ไปเลย” มีแต่ความมืด
ในความมืดเมื่อสายตาปรับแสงแล้ว ไม่มีอะไร ว่างเปล่า ผมรีบลุกขึ้น เดินไปเปิดไฟ
มองไปรอบๆห้อง ไม่มีอะไรผิดปกติ เหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาตีสี่แล้ว
ผมรีบกดโทรศัพท์ไปหาแฟน(อดีตภรรยา) เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ในใจก็ยังคิดว่าจะออกจากที่พักตอนนั้นเลยเพื่อขับรถไปนอนต่อที่บ้านแม่ดีหรือไม่
แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า กลัวตอนลงลิฟท์จะมีอะไรให้ต้องช๊อคไปมากกว่านี้
จนพระอาทิตย์ขึ้นน่ะครับจึงได้วางโทรศัพท์ และล้มตัวลงนอนต่อด้วยความเพลีย
เพิ่งจะมาจับต้นชนปลายได้เมื่อไม่กี่ปีนี้เองตอนที่ผมเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวรถเข็นเจ้าประจำ
ระหว่างรอพี่เขาลวกเส้นใส่ถุง เราก็จะคุยกันเป็นปกติทุกครั้ง แต่วันนั้นพี่แกนึกยังไงไม่รู้
อยู่ๆก็เล่าให้ฟังว่า รู้ไหม?ที่ตึกนี้น่ะ ตอนที่สร้างยังไม่เสร็จเลย
เครนล้มลงมาทับเต๊นท์ที่พักรวมของคนงาน ทำให้คนงานเสียชีวิตเกือบทั้งหมด
จนผู้รับเหมาต้องหาคนงานก่อสร้างชุดใหม่เข้ามาสร้างตึกต่อจนเสร็จ
ผมฟังแล้วเลยถึงบางอ้อ ว่าเหตุการณ์ต่างๆคงเกี่ยวข้องกัน แต่จะรวมถึงลิฟท์ตัวกลางที่ชอบเปิดค้างที่ชั้นนี้โดยที่ไม่มีใครกดเรียกด้วยหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้.