ก่อนเปิดห้อง

ห้องเก็บของสำหรับผม ก็คล้ายๆเป็นที่เก็บความทรงจำมากมายหลายอย่าง ของที่ยังใช้ได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ ของที่เสียที่ชำรุดแล้ว แต่มีค่ามากกว่าที่จะทิ้งมันไป ของเก่าๆที่ไม่เข้ากับชีวิตปัจจุบัน กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รูปภาพ ม้วนเทปเพลงที่เคยแต่งเคยบันทึกไว้ง่ายๆ นานจนลืมไปแล้วว่ามีกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง จดหมาย สมุดบันทึกในช่วงชีวิตต่างๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมมากมายที่ครอบครัวผมเองก็ยังไม่เคยรู้ นานมากแล้วนะ ที่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปดูมันเลย ลองเข้าไปดูกับผมมั้ย?

*ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของรูปภาพประกอบเรื่องราวทั้งหลายมา ณ.ที่นี้ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ออกแบบปกอัลบั้มต่างๆ ทั้งภาพที่พี่ๆศิลปินส่งมาให้ ภาพเก่าที่บราเธอร์ , มาสเตอร์ หรือเพื่อนเก่าๆได้ถ่ายเอาไว้ ใครเป็นคนถ่ายบ้างก็ไม่รู้มั่วไปหมด รูปภาพที่มีผม ผมไม่ได้ถ่ายเองอยู่แล้ว แม้บางภาพจะเป็นกล้องและฟิล์มของผมเองก็ตาม


วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เด็กอ้วน


รางวัล Fat Awards(Fat Radio) ศิลปิน bedroom studio ยอดเยี่ยมวงดนตรี The Wanderers จากเพลง นอกวงโคจร ทุกวันนี้ถูกวางโชว์อยู่บนตู้ที่บ้านแม่

ตอนที่ 25 (วัยหนุ่ม)

ลูกกรุง

งานแต่งและเรียบเรียงดนตรีเพลงประจำบริษัทต่างๆที่เคยได้ทำไม่เคยมีเข้ามาอีกเลย คงเป็นเพราะผมแข็งเกินไปที่จะยอมแต่งเนื้อร้องหรือทำนองให้มันขัดหลักธรรมชาติของดนตรีที่ตัวแทนบริษัทบอกให้ผมทำ บางครั้งพวกเขายกตัวอย่างเนื้อร้องที่ “ช่างเย็บเครื่องหนัง” แต่งขึ้นโดยใช้ทำนองเพลงของผม ไร้สัมผัส ไร้การคำนึงถึงเสียงสูงต่ำ ฟา ฝ่า ฝ้า ฟ้า ฝา แต่แค่เรื่องราวตอบโจทย์เขา ลำบากครับหากต้องอธิบายทฤษฎีดนตรีทุกครั้งก่อนที่จะรับงานประเภทนี้ ทำให้ผมเลิกนึกที่จะยึดเป็นอาชีพไปเลย

ล้มไม่เป็นท่าอยู่หลายปี แบบจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยล่ะ ถึงขนาดว่าต้องขุดความรู้ด้านสื่อสารมวลชนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาใช้ ทั้งรับคิดโฆษณาสินค้าเพื่อลงพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ให้กับบริษัทคุณพ่อของอดีตภรรยาอยู่หลายงาน วางรูปแบบและคิดคำที่จะใช้ในแคตตาล๊อกสินค้าทั้งแผ่นพับและแบบเล่มหนาๆใหญ่ๆ ผมคิดว่าชีวิตที่เกี่ยวข้องกับดนตรีของผมคงจบลงแต่เพียงเท่านั้นแล้ว ก็ให้บังเอิญคนรู้จักมาว่าจ้างให้ทำเพลงประกอบการแสดงโชว์บนเวทีของบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่รายหนึ่งในช่วง “แห่พระนาง” ผมนั่งแต่งและทำเพลงนี้อยู่ประมาณ5วัน5คืนแทบไม่ได้หลับได้นอน เพราะอารมณ์มันมาแล้วต้องดันให้เสร็จ ตั้งชื่อเพลงว่า อารยธรรม” ค่ำคืนวันงาน(ประมาณปีพ.ศ.2538หรือ39 จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขออภัย)ใครที่ได้เข้าไปนั่งร่วมประชุมตัวแทนภูมิภาค ณ.สนามกีฬา ทบ.คงได้ยินในสิ่งที่ผมทำ เพลงบรรเลงแนว world music ความยาว15นาที ถูกเล่นกระหึ่มไปพร้อมกับขบวนแห่แบบโบราณอันยิ่งใหญ่ ถือเป็นความภูมิใจอีกเรื่องหนึ่งของผมทีเดียวเชียวล่ะ

การประกวดร้องเพลง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมพาตัวเองดิ้นรนไปทำ เพราะมองว่าเป็นช่องทางที่อาจเปลี่ยนชีวิตได้ ทราบข่าวจากรายการวิทยุที่ฟังประจำในขณะนั้น(ประมาณปีพ.ศ.2538หรือ39 จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขออภัย)ว่าทางรายการรับสมัครเทปตัวอย่างเสียงเพื่อคัดเลือกผู้เข้ารอบ10คนไปประกวดขับร้องเพลงไทยสากล(ลูกกรุง) ผมส่งเทปเสียงของผมในเพลง สไบแพร (ชรินทร์ นันทนาคร) ไปที่รายการ ได้ผลครับ ผมติด1ใน10 แต่วันประกวดจริงบนเวทีใหญ่ที่พณิชยการพระนคร ผมใช้เพลง แสนแสบ ในการร้องประกวด ผลคือไม่ติด1ใน3 (สงสัยชื่อเพลงจะมีผล ฮา ) แต่ก็มีความประทับใจเกิดขึ้นอีกครั้งกับชีวิต คือหนึ่งในคณะกรรมการ คุณ ชรินทร์ นันทนาคร (ตัวจริง) ได้เซ็นชื่อบนหน้าปกซีดีให้ พร้อมกับเอ่ยชมเสียงร้องของผม ทำเอาปลื้มมาจนถึงปัจจุบัน.*


*ครั้งแรกกับตำนานนักร้องเพลงลูกกรุงที่ประทับใจคือเมื่อตอนที่ผมอายุ5 - 6ขวบ ครั้งนั้นแม่ของผมพาผมไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์แมคเคนน่า รอบนั้นเป็นรอบพิเศษจะมีการแสดงดนตรีก่อนที่จะฉายภาพยนตร์ จำได้ว่าคุณสุเทพ วงศ์กำแหง เดินร้องเพลงมาจากที่นั่งแถวหลังสุด เดินๆ ร้องๆก้าวลงบันไดมาเรื่อยๆ แล้วก็มายืนหยุดอยู่ที่ผม ระหว่างที่บทเพลงกำลังดำเนินไป คุณสุเทพ ก้มตัวลงมาถามผมว่า “หนู โตขึ้นอยากเป็นนักร้องไหมครับ?” ผมได้แต่ตกใจ จ้องหน้าแกอยู่แบบนั้น แกก็ถามคำถามเดิมอีก “โตขึ้นอยากเป็นนักร้องไหม” แล้วแกก็เดินไปข้างหน้า ร้องเพลงด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข

อุบัติเหตุเฉียดตาย

ผมเขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว(พ.ศ.2556) เพื่อส่งไปให้นิตยสารบันเทิงคดีพิจารณาตีพิมพ์ แต่นิตยสารปิดตัวลงเสียก่อน จึงถือโอกาสนำลงใน สมุดบันทึก นี้(แบบไม่แก้ไข ตัด หรือเติม)เลยนะครับ

อุบัติเหตุเฉียดตาย 

ผมผ่านอุบัติเหตุเฉียดตายมาสดๆร้อนๆ คิดขึ้นมาทีไรยังตื่นเต้นใจสั่นไม่หาย จึงอยากนำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ เตือนสติท่านผู้อ่าน บันเทิงคดี ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน เพื่อเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

เนื่องด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนักในระยะหลังๆ จากโรคเกาท์ (ข้อต่อกระดูกเท้าอักเสบ) จากการรับประทาน ไก่ และเครื่องใน ซึ่งเป็นของโปรดมาตั้งแต่วัยรุ่น พอย่างเข้ากลางคน โรคนี้จึงแสดงอย่างออกนอกหน้าโดยเฉลี่ยทุกๆสองถึงสามสัปดาห์ครั้งหนึ่ง ท่านผู้อ่านครับ ใครที่เป็นอยู่ จะรู้เลยว่าเวลาโรคกำเริบ มันจะทรมานมาก เดินแทบไม่ได้เลย ถ้าไม่พึ่งการรับประทานยา สิบวันก็ไม่หาย แต่ถ้ารู้ตัวก่อน พอกระดูกนิ้วเท้ามันเริ่มหน่วงๆ เราก็เริ่มจัดยาเม็ดแรกเลย สองถึงสามวันก็จะหาย และด้วยโรคนี้ ทำให้ผมหาวิธีที่จะจัดการกับมันแบบพึ่งตนเองและใช้ยาน้อยที่สุด คือการ ปั่นจักรยาน

ผมเริ่มปั่นจักรยานที่ สวนรถไฟ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2554 ปรากฏว่า โรคนี้ไม่กลับมากำเริบอีกเลย สูตรนี้ขอแนะนำเพื่อนร่วมโรคเลยนะครับ ปั่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก วันละประมาณ 20-30 ก.ม. เพื่อให้ขาได้ขยับ ขับเหงื่อออก และดื่มน้ำเยอะ ผมรับรองว่าสุขภาพโดยรวมดีขึ้นแน่นอนครับ ผมมาหยุดปั่นก็เมื่อตอนน้ำท่วมใหญ่ปี54 นี่เอง เพราะไม่มีที่จะให้ปั่น และช่วงนั้นก็มัวง่วนแต่หาที่ดินต่างจังหวัดเพื่อทำบ้านสวนในอนาคต พอน้ำลด ก็ได้ที่ดินที่ถูกใจมาเป็นกรรมสิทธิ์พอดี เลยต้องเอาเวลาไปๆมาๆ กรุงเทพ ต่างจังหวัด จัดการพัฒนาที่ซึ่งถูกปล่อยรกร้างมาเป็นเวลานาน ล้อมรั้ว ถมดิน ลงต้นไม้ และเตรียมสร้างบ้าน ปีกว่าๆผ่านไปจนลืมว่าตัวเองเป็นเกาท์ จนก่อนกลางปี 56 นี้เอง ที่โรคเริ่มโชว์อีก ก็ปวดบวมนิ้วเท้าเช่นเคย ต้องกลับมาพึ่งการรับประทานยาอีกครั้ง แล้วก็เหมือนเดิม สองถึงสามสัปดาห์จะกำเริบครั้งหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจ กลับมาปั่นจักยานที่ สวนรถไฟ เกือบทุกวันอีกครั้ง(จนตัวดำปี๋)

และเรื่อง อุบัติเหตุเฉียดตาย ที่ผมเกริ่นมาตั้งแต่แรก มันก็มาเกิดที่ สวนรถไฟ นี่ล่ะครับ

วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมานี้เอง ผมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคย เพื่อที่จะพยายามไปให้ถึงสวนรถไฟไม่ให้เกิน เก้าโมงเช้า ด้วยเรื่องปัญหาลานจอดรถนั่นเอง ลานจอดรถใหญ่นะครับ แต่รถจอดเต็ม ทั้งๆที่ผู้ที่เข้าใช้บริการสวนสาธารณะในวันธรรมดา(วันทำงาน )ไม่ค่อยมากเท่าไร ผู้คนส่วนหนึ่งจึงต้องเลี่ยงนำรถยนต์มาจอดบริเวณริมรั้วโรงเรียนวิศวะรถไฟ เรียงเป็นทางยาวไป แต่วันนั้น ฟ้าครึ้ม ฝนทำท่าจะตก ริมรั้วที่ว่าจึงโล่ง มีรถยนต์จอดอยู่ก่อนหน้าผมจะมาถึงเพียงหนึ่งคัน ผมยังคิดในใจว่า วันนี้โชคดี ไม่ต้องวนรถหาที่จอดหลายรอบ ขณะที่ผมจอดรถเสร็จ ก่อนดับเครื่องยนต์ ตาก็ให้เหลือบไปเห็นรถยนต์อีกคนหนึ่ง เป็นลักษณะรถขับเคลื่อนสี่ล้อ สีดำค่อยๆเคลื่อนเข้ามาจอดต่อท้ายรถของผม ห่างจากรถของผมประมาณสองเมตร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากรถของเขาสวยดี เพราะก่อนที่ผมจะตัดสินใจซื้อรถของผมคันนี้เมื่อปีที่แล้ว รถรุ่นที่จอดอยู่ท้ายรถผมนั้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ผมชอบ ผมดับเครื่องยนต์ เปิดประตูลงจากรถ เดินไปทางท้ายรถ เปิดประตูท้าย เพื่อนำจักรยานพับคันใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเดือนเศษๆออกมากางประกอบที่บริเวณท้ายรถมีที่ว่างประมาณสองเมตรจากรถที่จอดต่อจากรถของผม ตอนนั้นผมสังเกตว่ารถคันหลังยังไม่ดับเครื่องยนต์ ผมแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาจัดการกับจักรยานของผมอยู่  ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้นดี ก็เหมือนมีอะไรแข็งๆมาดุนที่สะโพกของผม เสี้ยววินาทีนั้นผมหันไปมองว่าวัตถุนั้นคืออะไร ปรากฏว่ามันคือกันชนของรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหลังคันนั้นนั่นเอง ตอนนั้นผมคิดว่ารถของเขาคงไหลลงหลุมเล็กๆ เลยเลื่อนมาสัมผัสผม ผมเหลือบตาขึ้นเพื่อจะส่งสายตาบอกเจ้าของรถว่า รถมันไหลนะครับ แต่ปรากฏว่า ที่ผมคิดนั้นมันผิด! รถคันนั้นไม่หยุด ซ้ำยังเคลื่อนตัวมาข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แรงขึ้น ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ทันหรอกครับ ข้างหน้าเป็นรถของผม ข้างหลังรถคันนั้นยังเคลื่อนที่มาข้างหน้า ด้านข้างเป็นจักยานซึ่งมือของผมจับมันอยู่ มารู้ตัวอีกที ตัวผมกระเด็นออกมาล้มลงอยู่ในส่วนของถนน ผมหันกลับไปมองเหตุการณ์ จักรยานของผมล้มกองอยู่กับพื้นถนน รถคันนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด รถยนต์ของผมถูกชนอย่างแรงพอสมควร และถูกดันไปข้างหน้า ไปชนรถยนต์อีกคัน และรถทั้งสองคันคือรถของผมและรถคันหน้าก็ยังถูกดันไปอีกถึงห้าเมตร! ผมงงกับเหตุการณ์นี้มาก ลุกขึ้นพร้อมกับแผลที่ขา มันเจ็บไปหมด เลือดยังไม่ออกมาเท่าไร เห็นแต่เนื้อขาวๆ ลึกพอสมควร ผมคิดในใจว่า ผมโชคดีเหลือเกินที่ผมกระเด็นออกมาได้ ไม่เช่นนั้นขาหรือหัวเข่าของผมคงหักละเอียดจากการบดอัดของรถยนต์สองคัน และตัวของผมอาจหลุดเข้าไปใต้ท้องรถของคู่กรณีเพราะเขาชนแล้วไม่ได้หยุดทันที ยังดันรถอีกสองคันไปอีกถึงห้าเมตร หรือถ้ากระเด็นออกมาน้อยกว่านี้ ขาหรือข้อเท้าของผมอาจถูกล้อของรถคันนี้ทับบดจนหักหรือแตก หรือสุดท้าย ถ้าตอนที่กระเด็นออกมาล้มที่ถนน หากมีรถยนต์คันอื่นที่ขับมา เขาเบรกไม่ทันแน่นอนครับ ผมภาวนาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดาประจำตัว ในขณะที่ตัวและใจของผมสั่น ยอมรับว่ากลัวมาก และคิดไม่ถึงจริงๆ ยังคิดไปถึงความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมงานดนตรีที่เล่นประจำกันอยู่ตามผับตามร้านอาหารของผมอีกสี่วง(อันนี้ยังไม่รวมวงดนตรี THE LAMB ของพี่ ซัน มาโนช พุฒตาล นะครับ - - ‘ )

ประกันถูกเรียกมาเครม มาถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมด น้องผู้หญิงเจ้าของรถก็อธิบายไปตามความเข้าใจของตัวเขา ผมไม่ได้คิดจะเอาความอะไรเลยนะครับ เพียงแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจอดรถแล้วถึงไม่ดับเครื่อง แล้วรถมันพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไรตั้งเจ็ดเมตร (โดยไม่เบรก) จากที่จอดของเขา เขาก็อธิบายถึงระบบการจอดของรถยนต์ของเขาว่าจะต้องทำนั่นทำนี่เกี่ยวกับเกียร์เผื่อว่าคนอื่นจะได้เข็นได้ในกรณีจะเข้าจะออก และจึงจะทำการดับเครื่อง จนวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์รุ่นนั้น รู้แต่ว่ารถยนต์ของผมไม่มีระบบอะไรยุ่งยากขนาดนั้นทั้งที่เป็นรถยนต์รุ่นใหม่เหมือนกัน จากนั้นน้องคนนี้ก็ขับรถพาผมไปทำแผลที่โรงพยาบาล คุณหมอถามถึงเหตุการณ์ก็ยังงง และบอกน้องคนนี้ว่า ทำไมไม่ดับเครื่องก่อนซึ่งจริงๆดับเครื่องก่อนแล้วค่อยจัดการปรับเกียร์ แล้วค่อยดึงกุญแจออกก็ย่อมทำได้

ต้องขอขอบคุณพี่เจ้าของรถยนต์คันหน้าสุดที่ร่วมในอุบัติเหตุครั้งนี้ ที่ช่วยหาน้ำแข็งมาให้ผมประคบแผล เช็คความเสียหายของจักรยานของผม พยายามหามุกตลกมาคุยให้ผมทุเลาความเจ็บ และโทรถามอาการของผมที่โรงพยาบาล


จากเหตุการณ์นี้ ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนว่า ใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาท และถ้ารถคันที่จอดอยู่ข้างหลังยังไม่ดับเครื่อง พยายามอย่าไปเปิดท้ายรถตัวเองเพื่อเอาของเด็ดขาด ผมเข็ดจริงๆ .

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Pop Sound


Epiphone Sheraton เจ้าของเสียงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม พาราณสี ออเคสตรา ถ้าจำไม่ผิดผมซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2537ด้วยความที่เป็นคนชอบThe Beatles (ตอนนั้นทางร้านยังไม่ได้สั่งรุ่นCasinoซึ่งเป็นรุ่นที่บีเทิ้ลส์ใช้มาจำหน่าย) เก็บไว้ในกล่องเฉยๆนานมาก จนมีโอกาสนำออกมาใช้งานบันทึกเสียงในปีพ.ศ.2542 และหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ได้นำออกมาใช้อีกในช่วงเล่นเพลงของบีเทิ้ลส์ตามร้านอาหารต่างๆ ปัจจุบันกีตาร์ตัวนี้อยู่กับ ออม อดีตมือกีตาร์วง Vacation.

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จุดประกายคอนเสิร์ต

ขออนุญาต คุณ อนันต์ ลือประดิษฐ์ นำหนังสือประกอบการแสดงคอนเสิร์ตของThe Lamb มาลงในหน้าบล็อกนี้นะครับ เพราะงานนี้ เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของผม






วงcover The Beatles ที่ผมร่วมเล่นอยู่ในปัจจุบันคือวง สี่ต่อเทา นะครับ และเพลงละครที่ร่วมทำเพลงในช่วงนั้น มีละครของทางช่อง3 ส่วนของช่อง7* ผู้ที่รับงานทำเพลงมา เขาแค่ชวนผมไปบันทึกเสียงกีตาร์ให้เท่านั้น ผมไม่ได้ร่วมทำเพลงแต่อย่างใด จึงขอแก้ไขข้อมูลมา ณ.ที่นี้



*เพลงละครช่อง7 ที่มีคนรับทำเพลงมาชวนผมไปอัดกีตาร์มีประมาณ3-4เรื่อง รวมเป็นจำนวนประมาณ6-7เพลง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้เลยนอกจาก *เขาหาว่าหนูเป็นเจ้าหญิง พอเขาส่งงานเสร็จ ผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย. 

(*ผมจำชื่อเรื่องผิดครับ จริงๆละครมีชื่อว่า เขาหาว่าหนูเป็นสายลับ แก้ไข 3 ก.ค. 2562)

***และขอแก้ไขข้อมูลอีกสักนิดนะครับ จำไม่ได้ว่าเคยเขียนลงในบล๊อคนี้ตอนใดตอนหนึ่ง หรือให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับไหน ที่เคยบอกว่า เป็นกรรมการตัดสินดนตรี โค้กมิวสิคอวอร์ด ผมจำผิดนะครับ เพราะเพิ่งได้คุยกับรุ่นน้องถึงเรื่องราวเก่าๆนี้ น้องเขาบอกมาว่า ผมจำผิด 555 อายุเยอะ ความจำแย่แล้วครับ จริงๆที่ไปเป็นกรรมการตัดสินดนตรีงานนั้นคือ เนสกาแฟมิวสิคอวอร์ด ครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ (3 ก.ค. 2562)

ตอนที่ 24 (วัยหนุ่ม)

คิดเล็ก

หลังจากที่ไม่ประสบผลสำเร็จในธุรกิจห้องบันทึกเสียงเล็กๆ เนื่องจากการคาดเดาผิดพลาดหลายประการ หลักๆเลยคือความกว้างขวางในสายงาน และสถานที่ตั้งที่ไม่สะดวกต่อการทำงานของผู้ว่าจ้าง ผมจึงคิดหาช่องทางอื่นในการจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าที่จะเปิดอุ่นเครื่องไว้เฉยๆแบบนั้น ด้วยความที่เคยเป็นนักดนตรี(ตอนนั้นไม่คิดว่าจะกลับมาเป็นนักดนตรีอาชีพอีกแล้ว) มีเครื่องมือบันทึกเสียง และเรียนจบมาทางด้านมนุษยศาสตร์สื่อสารมวลชน ผมจึงคิดถึงหนังสือตำราเรียนดนตรีที่มีเสียงจากเทปคาสเซ็ทเพื่อฟังประกอบการฝึกฝนรวมเป็นชุดไว้ ซึ่งสมัยนั้น(พ.ศ.2537)ถือว่าในตลาดยังมีน้อยมาก*

หนังสือพร้อมเทปเสียงถูกผลิตออกมาสามชุด มีทั้งตำราฝึกหัดกีตาร์เบื้องต้น และbacking track เพื่อฝึกหัดการ improvise บนเครื่องดนตรีต่างๆ อีกทั้งยังขยายขอบข่ายการผลิตไปถึงกระดาษบันทึกตัวโน้ตดนตรี(บรรทัด5เส้น)และกระดาษเพื่อบันทึกรายละเอียดดนตรีในรูปแบบอื่นๆ(ทำออกมาจำหน่ายในราคาถูก และกระดาษบันทึกในบางรูปแบบยังไม่มีใครคิดทำ) สินค้านำไปฝากขายกับห้างสรรพสินค้าใหญ่(ชื่อหนึ่ง)หลายสาขา ผลการตอบรับดีครับ แต่เหนื่อยมากตรงที่ต้องบรรจุซอง บรรจุรวมกล่อง และขับรถไปส่งตามสาขาต่างๆทั่วกรุงเทพมหานครเอง มีผู้ช่วยอยู่คนเดียวคืออดีตภรรยา(ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน) ทุกอย่างไปได้ดีจนถึงจุดอิ่มตัวด้วยตัวของมันเอง จึงเลิกผลิตและจำหน่ายในที่สุด.


*ช่วงเวลาเดียวกันผมบันทึกเสียงผลงานเพลงเป็นเทปคาสเซ็ทออกมาเป็นมินิอัลบั้มชื่อ ปกขาว มีเพลงทั้งหมดรวม7เพลง (ระบบอนาล็อก เทปรีล1นิ้ว 16tracks ไม่มีเพลงรักแบบหนุ่มสาวเลย) หนึ่งในนั้นคือ อกสามศอก (ซึ่งเคยเป็นเพลงที่อยู่ในโปรเจค พี่ชัคกี้และTheFox) ผู้แต่งเนื้อร้องคือประสิทธิ์ ฉกาจธรรม เพื่อนของผม(ส่วนทำนองเพลงผมดัดแปลงทำนองเดิมของประสิทธิ์ที่แต่งมาแบบพื้นบ้านให้มีลีลาเข้ากับเครื่องดนตรีสากลมากขึ้น)ซึ่งผมซื้อสิทธิ์มาใส่ไว้ด้วย ลงโฆษณาจำหน่ายทางไปรษณีย์ตามนิตยสารทางดนตรีต่างๆ ได้ยอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ60ม้วน มีรายชื่อผู้สั่งซื้อ2-3รายที่ส่งวัสดุแบบลงทะเบียนไปแล้วถูกตีกลับเนื่องจากที่อยู่ของผู้รับไม่ชัดเจน ต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ แต่ถ้าบังเอิญท่านได้เข้ามาอ่านและยังอยากที่จะฟังอยู่ บอกเลยนะครับ เพียงเขียนชื่อและที่อยู่ของท่านกลับมาใหม่ให้ชัดเจนกว่าเดิม ผมจะจัดเทปคาสเซ็ทอัลบั้ม ปกขาว นี้ส่งกลับไปให้ท่าน ท่านละ10ม้วนเลย เพราะเหลือเยอะมาก (ฮา)

ตอนที่ 23 (วัยหนุ่ม)

Duoคู่ใหม่

ปลายปีพ.ศ.2536 ผมมีโอกาสไปเยี่ยมเยือนพี่เปี๊ยก(กฤษฎา ตันติเวชกุล อดีตกรีนแอปเปิ้ล ,ร็อคเคสตร้า)อีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันหลายปีโดยบังเอิญ ด้วยการชักชวนของ โจ้ (จิรัติ ตันติเวชกุล ลูกพี่ลูกน้องของพี่เปี๊ยก)เพื่อนของผม โจ้บอกกับผมว่าพี่เปี๊ยกเปิดห้องบันทึกเสียงเป็นของตัวเองแล้วที่บ้านใหม่ของแกเอง* ผมซึ่งตอนนั้นทำห้องบันทึกเสียงเล็กๆเพิ่งเสร็จ* ก็อยากจะไปดูและขอคำแนะนำจากพี่เปี๊ยก

ห้องบันทึกเสียงของพี่เปี๊ยกถูกสร้างขึ้นอย่างดีในส่วนต่อเติมด้านข้างของบ้านเดี่ยวในซอยสุทธิสารวินิจฉัย เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย มีนักร้องนักดนตรีเดินเข้าออกมากหน้าหลายตา ถามไปถามมาก็รู้ว่าพี่เปี๊ยกยังรับทำเพลงและเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับค่ายเพลงค่ายหนึ่งซึ่งผู้บริหารค่ายย้ายมาจากบริษัทมิวสิคไลน์ นักร้องที่แวะมาบันทึกเสียงให้กับพี่เปี๊ยกในตอนนั้นก็มี พี่ต๋อย อดีตนักร้องนำ เดอะเจนเนอเรชั่น, พี่มัม ลาโคนิค, พี่บิ๊ก สมภพ เทพรักษา ทีมแต่งเพลงมีพี่เป้ ข้ามเขต ศรีถาวร(บางเพลงของคุณกุ้ง ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา เป็นฝีมือของแก) และพี่หมู(ปัจจุบันเป็นมือคีย์บอร์ดของพี่โป่ง หินเหล็กไฟ)

ผมกับโจ้เข้าไปหาพี่เปี๊ยกบ่อยพอสมควร จนวันหนึ่งพี่เปี๊ยกถามพวกเราว่าอยากทำอัลบั้มไหม?พอดีทางบริษัทอยากให้หาศิลปินชายคู่แนวโฟล์คประสานเสียงแบบSimon&Garfunkel เห็นพวกเราบ่อยๆเลยนึกถึงคนใกล้ตัวไว้ก่อน โจ้อยากทำแต่ผมลังเล เพราะเพิ่งเหนื่อยมาจากการเป็นนักดนตรีแบ็คอัพหมาดๆ แต่สุดท้ายก็ตามใจเพื่อน (จริงๆโจ้ก็กังวลนะครับจำได้ว่าโทรศัพท์มาหาผมเรื่องปัญหาการเล่นกีตาร์เพราะไม่เคยเล่นอาชีพมาก่อน*) พี่เปี๊ยกนัดพวกเราเพื่อเดินทางเข้าบริษัทไปให้ผู้บริหารดูตัวและพูดคุยกับโปรดิวเซอร์ พอไปถึงผมเห็น อาจารย์ บรูส แกสตัน(วง ฟองน้ำ) นั่งอยู่ ในชีวิตผมไม่เคยคิดว่าจะได้มานั่งพูดคุยกับแกเลยเพราะแกเป็นคนดังมากในยุคนั้น คุยไปคุยมาถึงรู้ว่าแกคือโปรดิวเซอร์ที่จะรับดูแลโปรเจคนี้ ผมดีใจมากเพราะชื่นชอบผลงานของฟองน้ำมานาน หลังจากที่ตกลงกันเรื่องแนวทางและวิธีการทำงานกันเสร็จพวกเราก็ลากลับ

โจ้ชวนผมมานั่งคุยกันต่อกับพี่เปี๊ยกที่ห้องบันทึกเสียงด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ก็อย่างว่าครับ ความสำเร็จไม่เคยมีใครได้มาง่ายๆ วันหนึ่งทุกอย่างก็เงียบ ผลงานเด่นๆของบริษัทมีออกมาชุดหนึ่งคือ มัม ลาโคนิค หนึ่งเดียวคนนี้.

ผม  โจ้
 *ปัจจุบันห้องบันทึกเสียงของพี่เปี๊ยกในซอยสุทธิสาร ไม่มีแล้วครับ

*ห้องบันทึกเสียงเล็กๆของผมร่วมกับอดีตภรรยา ปัจจุบันไม่มีแล้วครับ


*ตั้นกับโจ้ คือชื่อที่ผมกับโจ้ใช้ประกวดดนตรีโฟล์คซองหลายเวทีสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย เช่นงานประกวดโฟล์คซองของบริษัทรถไฟดนตรี งานประกวดโฟล์คซอง(เพลงของวง) คนคู่ ส่วนใหญ่เข้ารอบ1ใน10 แต่ไม่เคยได้รางวัล1ใน3

Bassลายเสือ

ภาพเก่าเล่าความหลัง(พ.ศ.2545)




Bassลายเสือตัวนี้ เป็นเบสที่ผมใช้ซ้อมกับวงช่วงทำเดโมเพลงตัวอย่างของ The Wanderers เพื่อนำเสนอค่าย ทุกวันนี้เบสตัวนี้ไม่ได้อยู่กับผมแล้วนะครับ

6+4

ภาพเก่าเล่าความหลัง (พ.ศ.2533)


เค้ก  ผม

ช่วงที่ผมทำงานเพลงโฆษณา(และเพลงอัลบั้มของพี่ท่านหนึ่งในบริษัทแห่งนี้)กับ เค้ก(น้องชายของพี่ป้อม ออโตบาห์น) ผมชวนเค้กลองทำตัวอย่างเพลงของเราเองเพื่อไปเสนอค่าย เราคัดเพลงที่มีอยู่แล้ว ของผม3เพลง ของเค้ก1เพลง ลงมือบันทึกเสียงกับเครื่องบันทึก4tracksที่บ้านของผม เสร็จแล้วก็นัดกันไปถ่ายรูปเพื่อทำประวัตินำเสนอ ตั้งชื่อวงว่า 6+4(นก ภรรยาของเค้กเป็นผู้ตั้งให้) ที่เดียวที่เราเอาเดโมเทปไปทิ้งไว้ให้พิจารณาคือ บริษัทคีตา ปรากฏว่าเงียบ เราก็เลยล้มเลิก.



เจ้าหนูเสียงมหัศจรรย์

(พ.ศ.2531)



ผมรู้จักกับพี่น้อย(หนวด)วง KLD ต่อมาเป็นมือกีตาร์วง RockFather ผ่านพี่อ้น รุ่นพี่ของผมที่มหาวิทยาลัย เราเคยได้ซ้อมดนตรีกัน3-4ครั้งที่ห้องซ้อมแถวๆแฟลต8ชั้น ดินแดง วันหนึ่งพี่อ้นโทรมาหาผมที่บ้านบอกว่า ตั้น พี่น้อยเขาได้เอฟเฟคมาสองตัวซ้ำกัน ตั้นสนใจไหม?” คุยไปคุยมาได้ความว่า คุณแม่ของพี่น้อยซึ่งอาศัยอยู่ที่อเมริกา และได้เคยส่งกีตาร์กิ๊บสันทรงแปลกๆมาให้พี่น้อยตัวหนึ่งแล้ว คราวนี้ได้ส่งเอฟเฟคที่ใช้กับกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อProco Rat มาให้ซ้ำกันสองตัว คิดถึงสมัยนั้นเอฟเฟครุ่นนี้ในเมืองไทยยังไม่มีขาย คนไทยยังไม่รู้จัก นอกจากพวกที่ชอบซื้อนิตยสาร GuitarPlayer ของเมืองนอกมาดู ก็จะได้เห็นเจ้าRatนี้ทางหน้าโฆษณาเท่านั้น ผมตัดสินใจบอกพี่อ้นไปว่า เอาทั้งๆที่ไม่เคยเห็นใครในเมืองไทยใช้กันเลย characterเสียงเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ที่ตัดสินใจแบบนั้นเพราะพี่น้อยเล่นกีตาร์เก่ง สิ่งที่พี่น้อยเลือกและฝากคุณแม่ส่งมาย่อมต้องดี แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ผมได้Ratมาใช้ก่อนใคร(หลังพี่น้อยคนเดียว) และทุกวันนี้Ratยังคงเป็นเอฟเฟคในใจอันดับต้นๆ.

กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกของบ้าน

ภาพเก่าเล่าความหลัง (พ.ศ.2527)



ภาพนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อตอนอายุ16 แต่จริงๆแล้วกีตาร์ตัวนี้เข้ามาอยู่ในบ้านประมาณปีพ..2524 เป็นกีตาร์ไฟฟ้าผลิตญี่ปุ่นทรงเลียนแบบLespaul ยี่ห้อ Memphis ที่พ่อของผมพาไปซื้อจากร้านเพื่อนของพ่อในเวิ้งนาครเขษม พร้อมแอมป์กีตาร์ยี่ห้อ Hamonic* ที่เห็นในรูป กับเบสตัวแรกของผมยี่ห้อ K.Matin ปัจจุบันกีตาร์ตัวนี้ไม่ได้อยู่กับผมแล้วนะครับ เนื่องจากครั้งหนึ่งไปซ้อมดนตรีกับวง เม็ดทราย ระหว่างเดินทางกลับ เจอค นักร้องนำผู้ซึ่งอาสาหิ้วกระเป๋าเอฟเฟคกีตาร์ของผมจากห้องซ้อมขึ้นรถตุ๊กๆมาด้วยกัน พอถึงที่หมายเจอคไม่ได้หยิบกระเป๋าเอฟเฟคของผมลงจากรถมาด้วย ผมจึงจำเป็นต้องแอบขายกีตาร์ตัวนี้ให้กับคุณครูดนตรีของน้องสาว โดยให้น้องสาวหิ้วกีตาร์ขึ้นรถประจำทางไปส่งมอบให้คุณครูที่โรงเรียน เพื่อนำเงินมาซื้อเอฟเฟคกีตาร์ใหม่ จากนั้นเป็นต้นมาผมไม่เคยวางใจหรือสะดวกใจให้ใครหิ้วเครื่องดนตรีให้อีกเลย จนถึงปัจจุบัน.


*จริงๆแล้วแอมป์ตัวนี้ไม่ใช่ของผม(งงมั้ย?) แอมป์ของผมเป็นแอมป์ยี่ห้อเดียวกันแต่เป็นระบบ “หลอด” ครั้งหนึ่งหลอดมันขาดเลยยกกลับไปซ่อมที่ร้าน หลายวันผ่านไปพอซ่อมเสร็จก็เรียกรถตุ๊กๆไปยกกลับบ้าน กลับถึงบ้านเรียกพี่เรียกน้องมาช่วยกันดูเพราะรู้สึกแปลกๆ(แค่ไฟแสดงผลเปิดปิดก็คนละสีแล้ว เสียงก็คนละเรื่องกันเลย) ดูไปดูมาดันกลายเป็นรุ่นระบบทรานซิสเตอร์ เห็นดังนั้นก็อุตส่าห์แบกขึ้นรถตุ๊กๆกลับไปที่ร้านอีกครั้งเพื่อแจ้งว่าให้ของมาผิดตัว ทางร้านบอกว่า ตัวนี้น่ะถูกต้องแล้ว “มันจะไปถูกได้ยังไง ของเราใช้อยู่ทุกวัน” ผมคิด แต่ผมเด็ก เลยเถียงไม่ชนะ

กีตาร์โบราณ

ภาพเก่าเล่าความหลัง (พ.ศ.2529)

จากซ้าย ผม  หน่อ  ปู  วงโมเลกุล




กีตาร์ Greco ผลิตญี่ปุ่น กึ่งโปร่งกึ่งไฟฟ้าทรงโบราณคล้ายๆ Es-335 ตัวนี้ผมได้มาจากเพื่อนต่างโรงเรียนของผม ธนู แซ่ตั้ง ซึ่งธนู ได้มาจาก โรเจอร์ (อดิศักดิ์ เอ็ม คาราอัน อดีตวงดนตรี เม็ดทราย ปัจจุบันเรียบเรียงดนตรีให้ค่ายใหญ่) ธนูเล่าว่า กีตาร์ตัวนี้เป็นของมือกีตาร์ชาวฟิลิปปินส์เพื่อนของพ่อเจอร์อีกทีหนึ่ง นำมาพิงไว้ที่บ้านของเจอร์จนลืม เจอร์จึงมอบให้ธนู(วงดนตรีโรงเรียนเดียวกัน) ธนูเห็นผมชอบ จึงขายต่อให้ผมแบบ “ให้” มากกว่า ผมนำมาซ่อมบูรณะขึ้นใหม่ด้วยตัวเองจนอยู่ในสภาพพอใช้งาน เท่าที่จำได้เคยนำออกเล่นในงานวันคล้ายวันเกิดคุณพ่อของ ใหม่(มือกลอง โมเลกุล คนที่2) นี้งานเดียว ผมเก็บกีตาร์ตัวนี้ไว้จนถึงปลายปีพ.ศ.2542 จึงจำใจเปิดท้ายขายต่อไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ.

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตอนที่ 22 (วัยใส)

ยอมทำทุกอย่าง ตะเกียกตะกาย

ตะกายดาว อัลบั้มรวมเพลงประกอบละคร(รวมศิลปิน) คืองานต่อมาที่ผมได้รับมอบหมายให้แกะเพลงทั้งอัลบั้มเพื่อแสดงแค่ครั้งเดียว ถ่ายทอดสดทาง ททบ.5โลกดนตรี จากนั้นงานประเภทแกะเพลงเพื่อแสดงโชว์เดียวก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ พบกับศิลปินมากมายท่านละครั้งเดียวหรืออย่างมากแค่สองครั้ง ล้วนแต่เป็นงานแสดงสดรวมศิลปินทั้งสิ้น* ทั้ง มาช่า พี่นิดอรพรรณ(รับงานเต็มโชว์แทนวงแบ็คอัพประจำของพี่นิดงานหนึ่ง) พี่กบทรงสิทธิ์ พี่ปั่น พี่สุรสีห์ ใหม่เจริญปุระ พี่แท่ง พี่ธเนศ พี่แอม พี่หนุ่ยอำพล(แกะเพลงแล้ว ซ้อมกันเองแล้ว แต่วงแบ็คอัพพี่หนุ่ยที่ทีแรกไม่ว่างเล่นงานนั้น บังเอิญว่างพอดี) พี่มาลีวัลย์ พี่นันทิดา ฯลฯแม้กระทั่ง พี่เบิร์ด(งานสัมมนาของบริษัทFuji ที่พัทยา แต่ถึงเวลาจริงใช้backing track) มีอยู่งานหนึ่งเป็นงานฟรีคอนเสิร์ตรวมศิลปิน จัดแสดงหน้าที่ว่าการกรุงเทพมหานคร รายชื่อเพลง30กว่าเพลง มีเวลาแกะเพลงและซ้อมกันประมาณ10กว่าวัน* ขณะที่ช่วงเวลานั้นยังมีงานประจำกลางคืนที่ทางบริษัทรับมาและส่งพวกเรา(เฉพาะวงแบ็คอัพ)ไปเล่นอีก(ซึ่งบริษัทไม่ผิดนะครับตามหลักความคุ้มค่าจ้างและเงินเดือนที่จ่ายออกมา) เวลานอนไม่มี พื้นที่สมองของผมไร้ช่องว่างที่จะใช้จำอะไรได้อีกแล้ว ตัดสินใจจดทุกอย่างใส่กระดาษและครั้งนั้นนับเป็นงานแรกที่ผมต้องพึ่งขาตั้งกระดาษโน้ตเพลง ซึ่งทำให้ผมเริ่มคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่างในใจ


                                                    หน้าToxicผับดังในยุคนั้น เพื่อเล่นประจำตามสัญญาของบริษัท

                                     โรงแรม อโนมา อีกหนึ่งงานประจำยามค่ำคืน (ครั้งแรกพี่อู้ดยกกีตาร์ไปช่วยแจม)

งานใหญ่มีโอกาสผ่านเข้ามือมาอีกหนึ่งอัลบั้ม มอส (ปฏิภาณ ปฐวีกานต์) กับการเป็นศิลปินนักร้องแบบเต็มตัวครั้งแรกของเขา เอ้อเฮอ ผมได้ฟังครั้งแรกจากเทปคาสเซ็ทที่ทางทีมงานcopyมาให้ เพื่อแกะเพลงซ้อม งานนี้สนุกครับ เพลงดี ไลน์กีตาร์สวย เพราะได้พี่สมชาย กฤษณะเศรณี (อดีต The Impossibles)มาเป็นโปรดิวเซอร์ กำหนดการ campusทัวร์ตระเวนแสดงดนตรีตามโรงเรียนมัธยมเยอะมาก ไปกันหลายโรงเรียนเลยครับ ทั้งยังมีการแสดงคอนเสิร์ตถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์อีกหลายรายการ ในขณะที่งานกลางคืนยังคงต้องทำตามสัญญา กลางวันซาวด์เช็ค ซ้อม หรือไม่ก็โชว์ (หลายครั้งโชว์เที่ยง ทีมงานนัด7-8โมงเช้า) ตอนนั้นเอง ใจและแรงของผมเริ่มหมดลงแล้ว ผมคิดว่าวันหนึ่ง ถ้าหมดงานอัลบั้มของมอสแล้ว ผมคงลาออกจากบริษัท แต่ความคิดของผมช้ากว่าติ๊ก ติ๊กหัวหน้าวงแบ็คอัพของผมได้นัดแนะกับเพื่อนมือกีตาร์ที่อยู่ต่างจังหวัดของเขาให้แกะไลน์กีตาร์ที่ผมเล่นอยู่ทั้งหมดเพื่อเตรียมเดินทางมาสวมแทน* แล้วjobสุดท้ายของผมก็จบลง เมื่อคอนเสิร์ต ลูกไก่มอส ในอ้อมกอด ณ.MBK Hall ผ่านพ้น.






 *หนึ่งในงานรวมเพลงรวมศิลปินงานหนึ่งคือ คอนเสิร์ต ดีเจใจแตก รวมเหล่าดีเจทั้งหมดในเครือแกรมมี่มาร้องเพลงกันที่ MBK Hall งานนั้นพี่เต็ด ยุทธนา บุญอ้อม เล่นเพลงของตัวเอง ดอกไม้ ที่ภายหลัง พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง นำไปบันทึกเสียงใส่ในอัลบั้ม

*งานนั้นต่างคนต่างแกะเพลงกันไม่ทันหรอกครับ เลยต้องใช้เทคโนโลยีช่วยกันยกใหญ่ ไลน์คีย์บอร์ด เบส กลอง ต้องปล่อยซาวด์สังเคราะห์จากซีเควนเซอร์ออกมาช่วยหลายเพลง ก็ทำท่าทำทางกันไป มีกีตาร์อย่างเดียวที่ทำแบบนั้นไม่ได้ ซาวด์สังเคราะห์ยังทำเลียนเสียงการเล่นและความเป็นธรรมชาติของกีตาร์ไม่ได้

*จริงๆผมไม่เคยรู้มาก่อน แต่สังเกตจากความเงียบผิดปกติภายในวง ผมถาม เล็ก เพื่อนของผม เล็กไม่พูด ผมถาม ป๋วย เพื่อนของผมอีกคน ตื้ออยู่นาน ป๋วยถึงยอมบอก ตอนนั้นพวกเราอยู่หน้าบริษัทพอดี ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปขอลาออกกับพี่อู้ด ถือเป็นการลาออกหลังแผนการไล่ออกในใจของหัวหน้าวงที่ถูกดำเนินการไปแล้ว 2สัปดาห์

“ชีวิต วัยใส หมดลงแต่เพียงเท่านี้ โปรดติดตาม วัยหนุ่ม ในตอนต่อไป”

ตอนที่ 21 (วัยใส)

โลกเบี้ยว



อัลบั้มประจำที่ผมต้องรับผิดชอบต่อจากก๊อต คือศิลปิน4ท่านจากรายการโทรทัศน์ยอดฮิตในขณะนั้น แบบว่าโลกเบี้ยว บทเพลงเกือบทั้งหมดเป็นเพลงแปลง ใส่เนื้อเพลงเฮฮาเข้าไปในทำนองเพลงฮิต ถือเป็นอีกอัลบั้มหนึ่งที่มีคิวการแสดงเยอะมาก ทั้งถ่ายทอดสดทางจอแก้ว และงานแสดงพิเศษตามสถานบันเทิงต่างๆ พี่โย(ภิญโญ รู้ธรรม) พี่ปู(ยุวดี เรืองฉาย) พี่ก้าว(ก้าว พึ่งบางกรวย) พี่มอริส(มอริส เค) มีความเป็นกันเอง และให้ความสำคัญในดนตรีที่พวกเราร่วมเล่นกันเป็นอย่างมาก เห็นตลกๆอย่างนี้ เวลาทำงาน พี่ทั้งสี่เอาจริงเอาจังกับงานมากนะครับ พร้อมกับมีวินัยในตัวเองสูงจริงๆ ผมยืนยันได้เพราะอยู่ร่วมในเหตุการณ์ เพียงแต่ภาพลักษณ์ภายนอกอาจจะดูทีเล่นทีจริงไปหน่อย ตามอาชีพหลักที่ต้องแสดงออกแบบนั้น






                                                                                   บรรยากาศหลังซาวด์เช็ค

วันคล้ายวันเกิดพี่โยในปีเดียวกัน พี่โยให้เกียรติเชิญพวกเราไปร่วมงานด้วย ภายในงานสนุกสนานเป็นกันเอง ผมรับอาสาถ่ายภาพเก็บบรรยากาศเพราะบังเอิญพกกล้องถ่ายรูปพร้อมฟิล์ม1ม้วนติดตัวไปพอดี(อันที่จริง ตั้งใจ) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นกล้องเพียงตัวเดียวในงานด้วยสิ ทุกวันนี้รูปภาพเหล่านั้น ล้าง อัด เสร็จสมบูรณ์ และยังคงอยู่กับผม เพราะผมไม่รู้ว่าจะส่งไปให้พี่โยได้ที่ไหน (ฮา)

 บรรยากาศส่วนหนึ่งในงานวันคล้ายวันเกิดพี่โย
ภาพบน กับพี่มอริส เค   ภาพล่าง กับพี่แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง

อัศเจรีย์

Hydra




งานเพลงต่อเนื่องจาก ฟีดแบ็ค จากปากคำของพี่ป้อ(มือคีย์บอร์ดฟีดแบ็ค,ชัคกี้ ธัญญรัตน์อัลบั้มพาฝัน) พี่ป้อเล่าว่าจริงๆแล้วไฮดราคือโครงการที่สมาชิกฟีดแบ็ค (ซึ่งมีนักร้องนำชื่อ รชฏ ยมาภัย) จะกลับมารวมตัวกันทำอัลบั้มที่สองหลังจากห่างหายกันไปหลายปี แต่ด้วยความไม่ลงตัวบางอย่าง จึงทำให้ไฮดราเป็นแบบที่ทุกท่านเห็น.