ก่อนเปิดห้อง

ห้องเก็บของสำหรับผม ก็คล้ายๆเป็นที่เก็บความทรงจำมากมายหลายอย่าง ของที่ยังใช้ได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ ของที่เสียที่ชำรุดแล้ว แต่มีค่ามากกว่าที่จะทิ้งมันไป ของเก่าๆที่ไม่เข้ากับชีวิตปัจจุบัน กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รูปภาพ ม้วนเทปเพลงที่เคยแต่งเคยบันทึกไว้ง่ายๆ นานจนลืมไปแล้วว่ามีกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง จดหมาย สมุดบันทึกในช่วงชีวิตต่างๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมมากมายที่ครอบครัวผมเองก็ยังไม่เคยรู้ นานมากแล้วนะ ที่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปดูมันเลย ลองเข้าไปดูกับผมมั้ย?

*ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของรูปภาพประกอบเรื่องราวทั้งหลายมา ณ.ที่นี้ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ออกแบบปกอัลบั้มต่างๆ ทั้งภาพที่พี่ๆศิลปินส่งมาให้ ภาพเก่าที่บราเธอร์ , มาสเตอร์ หรือเพื่อนเก่าๆได้ถ่ายเอาไว้ ใครเป็นคนถ่ายบ้างก็ไม่รู้มั่วไปหมด รูปภาพที่มีผม ผมไม่ได้ถ่ายเองอยู่แล้ว แม้บางภาพจะเป็นกล้องและฟิล์มของผมเองก็ตาม


วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุบัติเหตุเฉียดตาย

ผมเขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว(พ.ศ.2556) เพื่อส่งไปให้นิตยสารบันเทิงคดีพิจารณาตีพิมพ์ แต่นิตยสารปิดตัวลงเสียก่อน จึงถือโอกาสนำลงใน สมุดบันทึก นี้(แบบไม่แก้ไข ตัด หรือเติม)เลยนะครับ

อุบัติเหตุเฉียดตาย 

ผมผ่านอุบัติเหตุเฉียดตายมาสดๆร้อนๆ คิดขึ้นมาทีไรยังตื่นเต้นใจสั่นไม่หาย จึงอยากนำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ เตือนสติท่านผู้อ่าน บันเทิงคดี ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน เพื่อเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

เนื่องด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนักในระยะหลังๆ จากโรคเกาท์ (ข้อต่อกระดูกเท้าอักเสบ) จากการรับประทาน ไก่ และเครื่องใน ซึ่งเป็นของโปรดมาตั้งแต่วัยรุ่น พอย่างเข้ากลางคน โรคนี้จึงแสดงอย่างออกนอกหน้าโดยเฉลี่ยทุกๆสองถึงสามสัปดาห์ครั้งหนึ่ง ท่านผู้อ่านครับ ใครที่เป็นอยู่ จะรู้เลยว่าเวลาโรคกำเริบ มันจะทรมานมาก เดินแทบไม่ได้เลย ถ้าไม่พึ่งการรับประทานยา สิบวันก็ไม่หาย แต่ถ้ารู้ตัวก่อน พอกระดูกนิ้วเท้ามันเริ่มหน่วงๆ เราก็เริ่มจัดยาเม็ดแรกเลย สองถึงสามวันก็จะหาย และด้วยโรคนี้ ทำให้ผมหาวิธีที่จะจัดการกับมันแบบพึ่งตนเองและใช้ยาน้อยที่สุด คือการ ปั่นจักรยาน

ผมเริ่มปั่นจักรยานที่ สวนรถไฟ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2554 ปรากฏว่า โรคนี้ไม่กลับมากำเริบอีกเลย สูตรนี้ขอแนะนำเพื่อนร่วมโรคเลยนะครับ ปั่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก วันละประมาณ 20-30 ก.ม. เพื่อให้ขาได้ขยับ ขับเหงื่อออก และดื่มน้ำเยอะ ผมรับรองว่าสุขภาพโดยรวมดีขึ้นแน่นอนครับ ผมมาหยุดปั่นก็เมื่อตอนน้ำท่วมใหญ่ปี54 นี่เอง เพราะไม่มีที่จะให้ปั่น และช่วงนั้นก็มัวง่วนแต่หาที่ดินต่างจังหวัดเพื่อทำบ้านสวนในอนาคต พอน้ำลด ก็ได้ที่ดินที่ถูกใจมาเป็นกรรมสิทธิ์พอดี เลยต้องเอาเวลาไปๆมาๆ กรุงเทพ ต่างจังหวัด จัดการพัฒนาที่ซึ่งถูกปล่อยรกร้างมาเป็นเวลานาน ล้อมรั้ว ถมดิน ลงต้นไม้ และเตรียมสร้างบ้าน ปีกว่าๆผ่านไปจนลืมว่าตัวเองเป็นเกาท์ จนก่อนกลางปี 56 นี้เอง ที่โรคเริ่มโชว์อีก ก็ปวดบวมนิ้วเท้าเช่นเคย ต้องกลับมาพึ่งการรับประทานยาอีกครั้ง แล้วก็เหมือนเดิม สองถึงสามสัปดาห์จะกำเริบครั้งหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจ กลับมาปั่นจักยานที่ สวนรถไฟ เกือบทุกวันอีกครั้ง(จนตัวดำปี๋)

และเรื่อง อุบัติเหตุเฉียดตาย ที่ผมเกริ่นมาตั้งแต่แรก มันก็มาเกิดที่ สวนรถไฟ นี่ล่ะครับ

วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมานี้เอง ผมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคย เพื่อที่จะพยายามไปให้ถึงสวนรถไฟไม่ให้เกิน เก้าโมงเช้า ด้วยเรื่องปัญหาลานจอดรถนั่นเอง ลานจอดรถใหญ่นะครับ แต่รถจอดเต็ม ทั้งๆที่ผู้ที่เข้าใช้บริการสวนสาธารณะในวันธรรมดา(วันทำงาน )ไม่ค่อยมากเท่าไร ผู้คนส่วนหนึ่งจึงต้องเลี่ยงนำรถยนต์มาจอดบริเวณริมรั้วโรงเรียนวิศวะรถไฟ เรียงเป็นทางยาวไป แต่วันนั้น ฟ้าครึ้ม ฝนทำท่าจะตก ริมรั้วที่ว่าจึงโล่ง มีรถยนต์จอดอยู่ก่อนหน้าผมจะมาถึงเพียงหนึ่งคัน ผมยังคิดในใจว่า วันนี้โชคดี ไม่ต้องวนรถหาที่จอดหลายรอบ ขณะที่ผมจอดรถเสร็จ ก่อนดับเครื่องยนต์ ตาก็ให้เหลือบไปเห็นรถยนต์อีกคนหนึ่ง เป็นลักษณะรถขับเคลื่อนสี่ล้อ สีดำค่อยๆเคลื่อนเข้ามาจอดต่อท้ายรถของผม ห่างจากรถของผมประมาณสองเมตร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากรถของเขาสวยดี เพราะก่อนที่ผมจะตัดสินใจซื้อรถของผมคันนี้เมื่อปีที่แล้ว รถรุ่นที่จอดอยู่ท้ายรถผมนั้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ผมชอบ ผมดับเครื่องยนต์ เปิดประตูลงจากรถ เดินไปทางท้ายรถ เปิดประตูท้าย เพื่อนำจักรยานพับคันใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเดือนเศษๆออกมากางประกอบที่บริเวณท้ายรถมีที่ว่างประมาณสองเมตรจากรถที่จอดต่อจากรถของผม ตอนนั้นผมสังเกตว่ารถคันหลังยังไม่ดับเครื่องยนต์ ผมแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาจัดการกับจักรยานของผมอยู่  ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้นดี ก็เหมือนมีอะไรแข็งๆมาดุนที่สะโพกของผม เสี้ยววินาทีนั้นผมหันไปมองว่าวัตถุนั้นคืออะไร ปรากฏว่ามันคือกันชนของรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหลังคันนั้นนั่นเอง ตอนนั้นผมคิดว่ารถของเขาคงไหลลงหลุมเล็กๆ เลยเลื่อนมาสัมผัสผม ผมเหลือบตาขึ้นเพื่อจะส่งสายตาบอกเจ้าของรถว่า รถมันไหลนะครับ แต่ปรากฏว่า ที่ผมคิดนั้นมันผิด! รถคันนั้นไม่หยุด ซ้ำยังเคลื่อนตัวมาข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แรงขึ้น ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ทันหรอกครับ ข้างหน้าเป็นรถของผม ข้างหลังรถคันนั้นยังเคลื่อนที่มาข้างหน้า ด้านข้างเป็นจักยานซึ่งมือของผมจับมันอยู่ มารู้ตัวอีกที ตัวผมกระเด็นออกมาล้มลงอยู่ในส่วนของถนน ผมหันกลับไปมองเหตุการณ์ จักรยานของผมล้มกองอยู่กับพื้นถนน รถคันนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด รถยนต์ของผมถูกชนอย่างแรงพอสมควร และถูกดันไปข้างหน้า ไปชนรถยนต์อีกคัน และรถทั้งสองคันคือรถของผมและรถคันหน้าก็ยังถูกดันไปอีกถึงห้าเมตร! ผมงงกับเหตุการณ์นี้มาก ลุกขึ้นพร้อมกับแผลที่ขา มันเจ็บไปหมด เลือดยังไม่ออกมาเท่าไร เห็นแต่เนื้อขาวๆ ลึกพอสมควร ผมคิดในใจว่า ผมโชคดีเหลือเกินที่ผมกระเด็นออกมาได้ ไม่เช่นนั้นขาหรือหัวเข่าของผมคงหักละเอียดจากการบดอัดของรถยนต์สองคัน และตัวของผมอาจหลุดเข้าไปใต้ท้องรถของคู่กรณีเพราะเขาชนแล้วไม่ได้หยุดทันที ยังดันรถอีกสองคันไปอีกถึงห้าเมตร หรือถ้ากระเด็นออกมาน้อยกว่านี้ ขาหรือข้อเท้าของผมอาจถูกล้อของรถคันนี้ทับบดจนหักหรือแตก หรือสุดท้าย ถ้าตอนที่กระเด็นออกมาล้มที่ถนน หากมีรถยนต์คันอื่นที่ขับมา เขาเบรกไม่ทันแน่นอนครับ ผมภาวนาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดาประจำตัว ในขณะที่ตัวและใจของผมสั่น ยอมรับว่ากลัวมาก และคิดไม่ถึงจริงๆ ยังคิดไปถึงความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมงานดนตรีที่เล่นประจำกันอยู่ตามผับตามร้านอาหารของผมอีกสี่วง(อันนี้ยังไม่รวมวงดนตรี THE LAMB ของพี่ ซัน มาโนช พุฒตาล นะครับ - - ‘ )

ประกันถูกเรียกมาเครม มาถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมด น้องผู้หญิงเจ้าของรถก็อธิบายไปตามความเข้าใจของตัวเขา ผมไม่ได้คิดจะเอาความอะไรเลยนะครับ เพียงแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจอดรถแล้วถึงไม่ดับเครื่อง แล้วรถมันพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไรตั้งเจ็ดเมตร (โดยไม่เบรก) จากที่จอดของเขา เขาก็อธิบายถึงระบบการจอดของรถยนต์ของเขาว่าจะต้องทำนั่นทำนี่เกี่ยวกับเกียร์เผื่อว่าคนอื่นจะได้เข็นได้ในกรณีจะเข้าจะออก และจึงจะทำการดับเครื่อง จนวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์รุ่นนั้น รู้แต่ว่ารถยนต์ของผมไม่มีระบบอะไรยุ่งยากขนาดนั้นทั้งที่เป็นรถยนต์รุ่นใหม่เหมือนกัน จากนั้นน้องคนนี้ก็ขับรถพาผมไปทำแผลที่โรงพยาบาล คุณหมอถามถึงเหตุการณ์ก็ยังงง และบอกน้องคนนี้ว่า ทำไมไม่ดับเครื่องก่อนซึ่งจริงๆดับเครื่องก่อนแล้วค่อยจัดการปรับเกียร์ แล้วค่อยดึงกุญแจออกก็ย่อมทำได้

ต้องขอขอบคุณพี่เจ้าของรถยนต์คันหน้าสุดที่ร่วมในอุบัติเหตุครั้งนี้ ที่ช่วยหาน้ำแข็งมาให้ผมประคบแผล เช็คความเสียหายของจักรยานของผม พยายามหามุกตลกมาคุยให้ผมทุเลาความเจ็บ และโทรถามอาการของผมที่โรงพยาบาล


จากเหตุการณ์นี้ ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนว่า ใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาท และถ้ารถคันที่จอดอยู่ข้างหลังยังไม่ดับเครื่อง พยายามอย่าไปเปิดท้ายรถตัวเองเพื่อเอาของเด็ดขาด ผมเข็ดจริงๆ .