ลูกกรุง
งานแต่งและเรียบเรียงดนตรีเพลงประจำบริษัทต่างๆที่เคยได้ทำไม่เคยมีเข้ามาอีกเลย
คงเป็นเพราะผมแข็งเกินไปที่จะยอมแต่งเนื้อร้องหรือทำนองให้มันขัดหลักธรรมชาติของดนตรีที่ตัวแทนบริษัทบอกให้ผมทำ
บางครั้งพวกเขายกตัวอย่างเนื้อร้องที่ “ช่างเย็บเครื่องหนัง”
แต่งขึ้นโดยใช้ทำนองเพลงของผม ไร้สัมผัส ไร้การคำนึงถึงเสียงสูงต่ำ ฟา ฝ่า ฝ้า ฟ้า
ฝา แต่แค่เรื่องราวตอบโจทย์เขา
ลำบากครับหากต้องอธิบายทฤษฎีดนตรีทุกครั้งก่อนที่จะรับงานประเภทนี้
ทำให้ผมเลิกนึกที่จะยึดเป็นอาชีพไปเลย
ล้มไม่เป็นท่าอยู่หลายปี แบบจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยล่ะ
ถึงขนาดว่าต้องขุดความรู้ด้านสื่อสารมวลชนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาใช้
ทั้งรับคิดโฆษณาสินค้าเพื่อลงพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ให้กับบริษัทคุณพ่อของอดีตภรรยาอยู่หลายงาน
วางรูปแบบและคิดคำที่จะใช้ในแคตตาล๊อกสินค้าทั้งแผ่นพับและแบบเล่มหนาๆใหญ่ๆ
ผมคิดว่าชีวิตที่เกี่ยวข้องกับดนตรีของผมคงจบลงแต่เพียงเท่านั้นแล้ว ก็ให้บังเอิญคนรู้จักมาว่าจ้างให้ทำเพลงประกอบการแสดงโชว์บนเวทีของบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่รายหนึ่งในช่วง
“แห่พระนาง” ผมนั่งแต่งและทำเพลงนี้อยู่ประมาณ5วัน5คืนแทบไม่ได้หลับได้นอน เพราะอารมณ์มันมาแล้วต้องดันให้เสร็จ
ตั้งชื่อเพลงว่า “อารยธรรม” ค่ำคืนวันงาน(ประมาณปีพ.ศ.2538หรือ39 จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขออภัย)ใครที่ได้เข้าไปนั่งร่วมประชุมตัวแทนภูมิภาค
ณ.สนามกีฬา ทบ.คงได้ยินในสิ่งที่ผมทำ เพลงบรรเลงแนว world music ความยาว15นาที ถูกเล่นกระหึ่มไปพร้อมกับขบวนแห่แบบโบราณอันยิ่งใหญ่
ถือเป็นความภูมิใจอีกเรื่องหนึ่งของผมทีเดียวเชียวล่ะ
การประกวดร้องเพลง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมพาตัวเองดิ้นรนไปทำ เพราะมองว่าเป็นช่องทางที่อาจเปลี่ยนชีวิตได้
ทราบข่าวจากรายการวิทยุที่ฟังประจำในขณะนั้น(ประมาณปีพ.ศ.2538หรือ39 จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขออภัย)ว่าทางรายการรับสมัครเทปตัวอย่างเสียงเพื่อคัดเลือกผู้เข้ารอบ10คนไปประกวดขับร้องเพลงไทยสากล(ลูกกรุง) ผมส่งเทปเสียงของผมในเพลง สไบแพร
(ชรินทร์ นันทนาคร) ไปที่รายการ ได้ผลครับ ผมติด1ใน10 แต่วันประกวดจริงบนเวทีใหญ่ที่พณิชยการพระนคร ผมใช้เพลง แสนแสบ ในการร้องประกวด
ผลคือไม่ติด1ใน3
(สงสัยชื่อเพลงจะมีผล ฮา ) แต่ก็มีความประทับใจเกิดขึ้นอีกครั้งกับชีวิต
คือหนึ่งในคณะกรรมการ คุณ ชรินทร์ นันทนาคร (ตัวจริง) ได้เซ็นชื่อบนหน้าปกซีดีให้
พร้อมกับเอ่ยชมเสียงร้องของผม ทำเอาปลื้มมาจนถึงปัจจุบัน.*
*ครั้งแรกกับตำนานนักร้องเพลงลูกกรุงที่ประทับใจคือเมื่อตอนที่ผมอายุ5 -
6ขวบ ครั้งนั้นแม่ของผมพาผมไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์แมคเคนน่า
รอบนั้นเป็นรอบพิเศษจะมีการแสดงดนตรีก่อนที่จะฉายภาพยนตร์ จำได้ว่าคุณสุเทพ
วงศ์กำแหง เดินร้องเพลงมาจากที่นั่งแถวหลังสุด เดินๆ ร้องๆก้าวลงบันไดมาเรื่อยๆ
แล้วก็มายืนหยุดอยู่ที่ผม ระหว่างที่บทเพลงกำลังดำเนินไป คุณสุเทพ
ก้มตัวลงมาถามผมว่า “หนู โตขึ้นอยากเป็นนักร้องไหมครับ?” ผมได้แต่ตกใจ
จ้องหน้าแกอยู่แบบนั้น แกก็ถามคำถามเดิมอีก “โตขึ้นอยากเป็นนักร้องไหม”
แล้วแกก็เดินไปข้างหน้า ร้องเพลงด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข