พ.ศ.2529
ยอมรับตรงๆว่าผมเป็นพวกต่อต้านการรับน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นที่สุด
(ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าได้ต่อว่าต่อขานกันเลย)
คือผมคิดว่ามันก็แค่ความสนุกของรุ่นพี่บางคนหรือบางกลุ่มเท่านั้น
ที่จะได้แสดงอำนาจ ความเหนือกว่าของอายุและชั้นปี บางท่านแค่อยากแกล้ง
บางท่านอยากไปเที่ยว บางท่านอยากไปสังสรรค์ บางท่านอยากเหล่หญิงรุ่นน้อง ฯลฯ
มากมายหลายเหตุผลเป็นคนคนไป แต่ถึงไม่ชอบก็เลี่ยงไม่ได้หรอกครับ ขู่สารพัดขู่
เราเป็นรุ่นน้องและมันก็เป็นสิ่งใหม่ในชีวิตที่เราควรจะต้อง กลัว เอาไว้ก่อน
ความทรงจำในครั้งนั้นมันเลือนรางเต็มทน
เราไปอยู่กันจังหวัดไหนผมยังจำไม่ได้เลย(ระหว่างที่เขียนนี้ก็พยายามนึกอยู่)
รู้แต่ว่าพอลงรถบัสได้ ก็ คลานๆ คลุกๆ วิ่งๆ กลิ้งๆ วิดพื้น มุดซุ้ม ดินโคลนสีแป้ง
ดินโคลนสีแป้ง ดินโคลนสีแป้ง ดินโคล... นั่นล่ะครับวนๆไป จากซุ้มหนึ่งไปยังซุ้มหนึ่ง
และอีกซุ้มหนึ่ง จนไม่กี่ซุ้มผ่านไปก็เกิดเรื่อง รุ่นพี่ชายท่านหนึ่งให้น้องๆคลานลุยดินที่มีแต่วัชพืช
พี่แกจะรู้ไหมหนอว่าวัชพืชหลายพันธุ์มันมีหนาม
จริงๆก่อนหน้านั้นผมก็ไม่รู้หรอกครับ
มาโดนเอาตอนที่มันตำเข้าไปที่ผ่ามือแล้ว(คาดว่าจะเป็นไมยราบ)ผมทั้งเจ็บทั้งปวดที่แผล
ตามคาดครับรุ่นพี่กลุ่มเดียวกันตะโกนว๊ากกก โหวกๆบอกอย่าสำออย
“คลานต่อไปคลานต่อไป” ผมยกฝ่ามือขึ้นดูอีกครั้ง เลือดสดๆแดงๆมันเริ่มไหลออกจากแผล
ผมเริ่มกลัวความสกปรกจากดินจะนำเชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกาย
ผมหยุดและลุกขึ้นรุ่นพี่ท่านนั้นเดินเข้ามาจะเอาเรื่อง
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดา พี่นางฟ้าสาวสวยคนหนึ่งก็เข้ามากันผมไว้
พร้อมกับจับมือของผมแบออก “เลือดไหลนี่” พร้อมกับหันไปบอกเพื่อนรุ่นพี่คนนั้น
“น้องเขาเป็นแผล เลือดไหลใหญ่แล้ว พอแล้ว”
พูดจบพี่นางฟ้าคนนั้นก็พาผมแยกออกมาเพื่อจัดการใส่ยา และทำแผลให้ผม
พี่นางฟ้าใจดีที่ผมพูดถึงอยู่นี้คือ พี่แหม่ม สาว สาว สาว (พัชริดา วัฒนา)
ความประทับใจในวันนั้นยังจำได้อยู่จนทุกวันนี้ ขอขอบคุณพี่แหม่มอีกครั้งนะครับ.
*รุ่นพี่ผู้หญิงอีกสองท่านที่ทำให้ผมประทับใจคือพี่เอ้ ชุติมา
นัยนา ที่ให้ความเป็นกันเอง คอยแซวผมเล่นอยู่ตลอดทุกครั้งที่เจอหน้ากันในการรับน้องครั้งนั้น
อีกคนคือพี่เปิ้ล(ขออภัยลืมชื่อจริง)
พี่เปิ้ลจะมารอชวนผมคุยที่ป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยบ้าน
เพื่อจะเดินทางไปมหาวิทยาลัยตอนเช้าๆด้วยกันอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง