ก่อนเปิดห้อง

ห้องเก็บของสำหรับผม ก็คล้ายๆเป็นที่เก็บความทรงจำมากมายหลายอย่าง ของที่ยังใช้ได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ ของที่เสียที่ชำรุดแล้ว แต่มีค่ามากกว่าที่จะทิ้งมันไป ของเก่าๆที่ไม่เข้ากับชีวิตปัจจุบัน กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รูปภาพ ม้วนเทปเพลงที่เคยแต่งเคยบันทึกไว้ง่ายๆ นานจนลืมไปแล้วว่ามีกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง จดหมาย สมุดบันทึกในช่วงชีวิตต่างๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมมากมายที่ครอบครัวผมเองก็ยังไม่เคยรู้ นานมากแล้วนะ ที่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปดูมันเลย ลองเข้าไปดูกับผมมั้ย?

*ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของรูปภาพประกอบเรื่องราวทั้งหลายมา ณ.ที่นี้ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ออกแบบปกอัลบั้มต่างๆ ทั้งภาพที่พี่ๆศิลปินส่งมาให้ ภาพเก่าที่บราเธอร์ , มาสเตอร์ หรือเพื่อนเก่าๆได้ถ่ายเอาไว้ ใครเป็นคนถ่ายบ้างก็ไม่รู้มั่วไปหมด รูปภาพที่มีผม ผมไม่ได้ถ่ายเองอยู่แล้ว แม้บางภาพจะเป็นกล้องและฟิล์มของผมเองก็ตาม


วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ในย่ามนี้ มีปืน

ระหว่างที่พี่ซันกำลังเดินออกจากกลุ่มไปไม่กี่ก้าว แกหยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ค่อยๆเอี้ยวตัวหันกลับมาช้าๆ สีหน้าและแววตาไม่ค่อยสู้ดี  “ถ้าผมเป็นอะไรไป ฝากลูกสาวผมด้วยนะ”


                                             จากซ้าย  วุธ  ใบไม้  ผม  พี่ซัน  ต๊ะ

ผมมีโอกาสได้เข้าป่ากับพี่ซัน(มาโนช พุฒตาล)หนหนึ่ง จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้ม พาราณสี ออเคสตรา (พ.ศ.2542) ซึ่งช่วงเวลานั้นพี่ซันจะมีทริปเข้าป่าเพื่อท่องเที่ยวแบบออฟโรดบ่อยมาก ตัวผมเองเกิดมาไม่เคยได้ลุยป่าแบบจริงจัง อย่างเก่งก็แค่ค่ายลูกเสือ ผมจึงเปรยๆกับพี่ซันไว้ว่า ถ้าพี่ซันเข้าป่าอีกชวนผมด้วยนะครับ พี่ซันรับคำ และอีกไม่กี่วันแผนการเที่ยวป่าในครั้งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่าง ทริป ทุ่งแสลงหลวง-ทุ่งนางพญา จังหวัดเพชรบูรณ์ สองวันหนึ่งคืน มีสมาชิกไปกันไม่กี่คนครับ มี ผม วุธ(ศราวุธ แสงบุตร มือกีตาร์Growing Pain) ต๊ะ(ฝ่ายดูแลศิลปิน และเป็นมือเบสสนับสนุนงานแสดงของ ไวล์ดซีด) พี่ซันพา ใบใม้ ลูกสาวอายุ3ขวบไปด้วย เราขับรถออกจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืดด้วยรถยนต์กระบะ2คัน ไปฟ้าแจ้งเอาจังหวัดทางผ่าน บางช่วงมีฝนปรอยๆแปะมาที่หน้ากระจกรถ ผมไม่รู้เส้นทางหรอกครับ อาศัยขับตามกันไปเกาะก้นกันให้ดีอย่าให้หลง(ทุกวันนี้ถ้าให้ขับรถไปอีกผมไปไม่ถูกแล้วครับ จำทางไม่ได้จำได้แต่ท้ายรถพี่ซัน (ฮา)) ไปถึงที่ทำการอุทยานสายๆ ผมต้องเอารถ wanderer ของผมจอดทิ้งไว้ที่นั่นเพราะแรงรถไม่พอที่จะลุยขึ้นต่อ กว่าจะถึงจุดหมายจริงอีกสิบกว่าหรือยี่สิบกว่ากิโลเมตรไม่แน่ใจ  ผมปีนขึ้นไปนั่งยองๆในกระบะรถของพี่ซัน กระแทกโคลงเคลงปุเลงๆ ทางขึ้นไม่ธรรมดาเลย(จะเรียกว่าทางก็คงไม่ได้) ต้นไม้น้อยใหญ่ระเกะระกะ กิ่งต้นอะไรต่อมิอะไรต้องคอยสังเกต ถ้าหลบไม่ดีหน้าตาเนื้อตัวมีหวังบอบช้ำหนัก ไม่นานนักเราก็มาถึงจุดหมายจนได้

ลักษณะเนินดินเรียบๆ แนวต้นไม้สูงค่อนข้างเป็นระเบียบเหมือนมีใครมาจัดเอาไว้ ไม่รกอย่างที่ผมคิด มองไปรอบๆมีแต่สีเขียวของใบไม้เห็นแล้วสบายตา กลิ่นดินหอมๆลอยเข้าจมูก บรรยากาศแบบนี้ถ้าไม่ไป ก็ไม่มีทางได้เห็น คุ้มเหนื่อยจริงๆ ชื่นชมธรรมชาติได้สักพัก พี่ซันบอกให้ขึ้นรถเพื่อพาไปล้างหน้าล้างตาที่ห้วยเล็กๆไม่ไกลจากจุดนั้น เสร็จธุระจากน้ำใสๆในห้วยแกก็พาเรานั่งรถกลับมายังจุดเดิมตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆจวนเย็นย่ำแล้ว เราจัดการนำสัมภาระลงจากรถ กางเต็นท์ แล้วตั้งวงรับประทานอาหารที่พี่นิดภรรยาของพี่ซันเตรียมไว้ให้จากกรุงเทพ ต่อด้วยแอลกอฮอล์แก้กระหายคนละเล็กคนละน้อยยามค่ำ มีแสงเทียนและแสงจากตะเกียงเสริมบรรยากาศ สลับกับแสงแวบวาบบนท้องฟ้าใกล้ๆคล้ายมีฝนตกอยู่ไม่ไกล ทำให้เราเพลินกับการสนทนา สนุกสนานจนลืมเวลา

ประมาณสักสี่ทุ่มหรือเท่าไรไม่แน่ใจ ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันอย่างออกรส ใครสักคนในกลุ่มยื่นมือชี้ไปยังจุดมืดๆที่ไกลออกไป พวกเราหันหน้ามองฝ่าความมืดไปยังทิศนั้น สังเกตเห็นลำแสงของไฟฉายกวาดไปมาเป็นระยะ “คงเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้” พี่ซันบอก ในขณะที่ความเงียบเริ่มรวมตัวเข้ากับความมืด ต่างยังคงจ้องเพ่งสายตาไปที่นั่น ไม่นานนักเราก็เริ่มเห็นเงาคน เป็นคนสองคนเดินพ้นจากขอบเนินดิน และเป็นเงาชัดขึ้นเมื่อกระทบกับแสงแลบจากฟ้า บุคคลนิรนามทั้งสองคงเห็นแสงสว่างจากกลุ่มของเรา จึงตรงรี่เข้ามา ชั่วอึดใจผมก็เห็นหน้าพวกเขาอย่างถนัด ชายคนหนึ่งเดินอ้อมมายังด้านหลังของผมพร้อมกับก้มตัวโยนย่ามผ้าของเขาลงมากลางกลุ่ม “ในนั้นมีปืน” น้ำเสียงห้วนๆของเขาผมยังจำได้ดี (ถึงเสียงจะไม่เหมือนอาสุเชาว์ พงษ์วิลัย แต่ก็สร้างความตกใจได้มากระดับหนึ่ง) ถึงตอนนี้ไม่มีใครเปิดปากคุยกับใครแล้ว ความเงียบเข้าครอบผืนป่าบริเวณนั้นสิ้น ต่างคนต่างรอฟัง คำต่อไป จากปากของเจ้าของปืนกระบอกตรงหน้า “ใครเป็นเจ้าของรถ” เสียงของชายคนนั้นทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในกลุ่มของพวกเราเริ่มใจคอไม่ดีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางป่าที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่และดึกสงัดเช่นนี้ พี่ซันรับเป็นเจ้าของรถ ทุกอย่างยังคงเงียบ ได้ยินแต่เสียงน้ำแข็งในแก้วละลาย “ลงไปช่วยผมหน่อย รถผมติดหล่มอยู่ตรงทางที่จะขึ้นมา” เรามองหน้ากันไม่ทันที่จะขยับปากพูดอะไร “ปืนผมฝากไว้ที่นี่ เดี๋ยวขึ้นมาเอา” พี่ซันมองหน้าพวกเราพร้อมกับบอกให้ชายสองคนนั้นเดินไปรอที่รถ พอชายนิรนามหันหลังเดินพ้นจากวงพี่ซันก็ดึงปืนออกจากเอว กระชากลำกล้องขึ้นไก “เผื่อไว้” แกว่า ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเพื่อเดินตามชายสองคนนั้นไปที่รถ ระหว่างที่พี่ซันกำลังเดินออกจากกลุ่มไปไม่กี่ก้าว แกหยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ค่อยๆเอี้ยวตัวหันกลับมาช้าๆ สีหน้าและแววตาไม่ค่อยสู้ดี  “ถ้าผมเป็นอะไรไป ฝากลูกสาวผมด้วยนะ”* สายตาและน้ำเสียงเหมือนหาใครสักคนรับปากตามคำขอ “ครับพี่” ผมเอ่ยรับ

เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อยี่ห้อ โตโยต้า สีขาวยกสูงดังขึ้น ขยับถอยหน้าถอยหลังอยู่สองสามทีก็ค่อยๆมุ่งหน้าไปทางเนินที่เห็นลิบๆ สักครู่แสงไฟหน้ารถก็หายไปในความมืด เสียงเครื่องยนต์ไกลออกไป ไกลออกไป จนไม่ได้ยินแล้ว พวกเรามองหน้ากัน ผมแง้มปากถุงย่ามขึ้นดู เห็นปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในนั้นจริงๆ ในใจคิดว่า คงไม่มีอะไรเลวร้าย แต่อีกมุมก็คิด ถ้าไม่มีรถติดหล่มอยู่จริง หรือถ้าเขามีปืนมากกว่าหนึ่งล่ะ เขาอาจแค่อยากได้รถกระบะสักคัน ในพื้นที่ที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น พวกเรารอคอยอยู่นาน ในสถานการณ์นั้นมันเหมือนนานแบบข้ามวันข้ามคืน จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน เราเริ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา แสงไฟหน้ารถสาดเป็นลำพ้นขอบเนินนั้น สังเกตเห็นเป็นรถของพี่ซัน อีกสักครู่ก็มีแสงไฟหน้าของรถอีกคันหนึ่งสาดตามมา ไม่นานรถจี๊บคันนั้นก็ถูกขับมาจอดไว้คู่กัน กลุ่มสนทนาเริ่มเสียงดังขึ้นอีกครั้ง รู้สึกโล่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ถามไถ่ก็ได้ความว่า พี่สองคนนั้นเป็นถึงผู้บริหารระดับใหญ่โต และกว้างขวางพอสมควรในจังหวัด ขับรถมาเที่ยวและคิดว่าจะขึ้นมาพักแรมบนตำแหน่งที่เรากางเต๊นท์อยู่นี้เหมือนกัน แต่รถเกิดติดหล่มเสียก่อน จะเดินกลับไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ก็ไกลมาก(ร่วม20ก.ม.ในพื้นที่ป่า) คงเดินไม่ไหว อีกทั้งฟ้าก็มืดแล้ว จึงตัดสินใจเสี่ยงเดินขึ้นเขามาหาคนช่วย ซึ่งก็มาเจอพวกเราพอดี


รุ่งเช้า พวกเราได้ชิมข้าวต้มเครื่องร้อนๆฝีมือพี่เจ้าของปืนแก้แฮงค์ อิ่มอร่อยไปตามๆกัน ผมได้ยินพี่เขาคุยกับพี่ซัน ขอบอกขอบใจยกใหญ่ โดยที่พี่เขาก็ไม่รู้ว่า มาโนช พุฒตาล คือใคร รู้จักแต่ ดำรง.


*ไม่นานนี้ในงานเปิดตัวรายการวิทยุออนไลน์ของพี่หมึก วิโรจน์ ควันธรรม ในขณะที่พี่ซัน และใบไม้(ลูกสาว ซึ่งโตเป็นสาวแล้ว)ยืนคุยกับผมเพื่อรอแสดงดนตรีในลำดับต่อไป บังเอิญมีแขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเชิญพี่ซันออกจากกลุ่มเพื่อไปสนทนา พี่ซันหันมาบอกผมว่า "ตั้น ผมฝากลูกผมด้วยนะ" ผมอมยิ้มรับคำ นึกถึงเหตุการณ์ในป่าขึ้นมาตงิดตงิด

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตอนที่ 20 (วัยใส)

ฉันเลยOK

ผมมีโอกาสเล่นดนตรีให้พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล งานหนึ่งเนื่องจากวงแบ็คอัพประจำของพี่ต่ายติดงาน จำได้ว่ามีเวลาแกะเพลงและซ้อมกันไม่กี่วันเพราะเป็นงานด่วน ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆของการโปรโมทอัลบั้มของพี่ต่ายแล้ว ก่อนทำการแสดง เจ้าของสถานที่จัดให้ศิลปินและนักดนตรี พักผ่อนอยู่รวมกันหลังเวทีเพื่อเตรียมความพร้อม คุยกันไปคุยกันมา พี่ต่ายถามว่า เล่นดนตรีให้พี่ บริษัทจ่ายค่าจ้างเท่าไร พวกเราก็บอกราคาไปตามจริง พี่ต่ายทำหน้าแปลกใจสักพัก และชวนคุยเรื่องอื่นๆไปตามปกติ วันนั้นเป็นวันที่พวกเราทำการแสดงได้ดีมาก พี่ต่ายหันมายิ้มให้วงของเราบ่อยครั้งจนจบการแสดง


                       จากซ้าย  พี่พร  ติ๊ก  ผม  พี่ต่าย  เล็ก  อ๊อด  ป๋วย  และ โทนี่จอมพลังแบกเครื่อง

รุ่งขึ้น ทางบริษัทโทรศัพท์มาแจ้งพวกเราว่า พี่ต่ายนำเงินสดส่วนตัวใส่ซองมาเพิ่มให้พวกเราอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมากกว่าที่ทางบริษัทจ่ายให้เราถึงสองเท่า พี่ต่ายคงเกรงใจพวกเราที่ต้องแกะเพลงและซ้อมทั้งหมดเพื่องานเดียว ต้องขอขอบคุณพี่ต่ายอีกครั้งนะครับสำหรับน้ำใจที่มีให้กัน เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของผมเสมอครับ.


 ซาวด์เช็คตอนบ่ายๆ














นานนานที

(27 ก.ค.2557)

บรรยากาศการซ้อมดนตรีแบบง่ายๆ วงเล็กๆ Little Lamb(วงย่อยของ The Lamb อีกที) ที่บ้านของพี่ซัน มาโนช พุฒตาล เพื่อเตรียมไปแสดงประกอบการบรรยายอิงประวัติศาสตร์เชิงท่องเที่ยว ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2557

                            จากซ้าย กุ๊ก(เกิดศิริ ปุรสาชิต)  ผม  พี่ซัน  ว่อง(ธีระภาพ ว่องเจริญ) ภาพจากโทรศัพท์ของว่อง


                                    ซ้อมครั้งที่แล้วเดือน พ.ค.2557 ตอนนั้นยังไม่มีมือกลอง (ภาพจากโทรศัพท์ของว่อง)

                                                                        บรรยากาศการแสดงที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

บรรยากาศการแสดงที่ ม.ศรีปทุม ก่อนเดินทางไปอยุธยา (ขอขอบคุณเจ้าของภาพเหล่านี้ด้วยนะครับ)

ที่มาของสมาชิก Little Lamb คือ พี่ซัน หัวหน้าวง The Lamb รับ job (ฮา) จึงชวนผมซึ่งเป็นสมาชิก The Lamb (รุ่นที่2) และว่อง ซึ่งเป็นสมาชิก The Lamb (รุ่นที่3) มาทำทีมเล็กๆ รับงานเบาๆ ต่อมาว่องอ้อนพี่ซันขอเพิ่มมือกลอง พี่ซันชอบใจ ว่องจึงชวน กุ๊ก มือกลองซึ่งเล่นกับผมในวง Mind Body & Soul (60-70’s pop) , สี่ต่อเทา (Beatles) และกับวงของว่องกับผม Mosquito (เพลงไทยเก่า,สากลแก่) เข้าร่วมทีมเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง.

Mosquito


วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตอนที่ 19 (วัยใส)

ช๊อต

                                                                                       กลาง ก๊อต ขวาสุด ผม

หลังจากทราบข่าวเรื่องพี่โต๊ะ ทางวง*ก็ได้รับมอบหมายงานใหม่ทันที นั่นคืออัลบั้มใหม่ของ ก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี นักร้องจากโครงการแม่ไม้เพลงไทยอัลบั้มครูสุรพล สมบัติเจริญที่ผมชอบ แต่อัลบั้มนี้เป็นเพลงสตริงวัยรุ่นสมัยใหม่ชื่อ ช๊อต


 หน้าที่ของนักดนตรีแบ็คอัพรับเงินเดือนบริษัทอย่างผมคือ แกะเพลง ซ้อมวง และแสดงคอนเสิร์ต วนเวียนอยู่แบบนี้ เรานัดซ้อมวงกันสัปดาห์ละขั้นต่ำ5วัน วันละ6ชั่วโมงไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีงานแสดง บางช่วงงานแสดงชุกถึงขนาดกลางวันกลางคืนติดต่อกันหลายวัน มีเวลาแค่กลับบ้าน อาบน้ำ แล้วออกมาเจอกันใหม่ บางช่วงต้องรับงานแสดงประจำตอนกลางคืนของวงเอง(ไม่ใช่งานแบ็คอัพศิลปิน)ตามที่ระบุในสัญญาของบริษัท เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งวนกลับเข้าไปในบริษัท ทางวงก็จะได้ค่าจ้างในแต่ละคืนตามแต่ที่บริษัทจะจัดสรรให้นอกเหนือจากเงินเดือนประจำและค่าเหนื่อยจากงานคอนเสิร์ตเป็นครั้งๆ ครั้งละไม่มากหรอกครับ เพราะเขาถือว่าเขามีเงินเดือนให้แล้ว

ก๊อต เป็นศิลปินคนหนึ่งที่พอทราบเรื่อง ก็พาพวกเราไปเลี้ยงอาหารอร่อยๆร้านดีๆเกือบจะทุกครั้งหลังจากงานแสดงเสร็จสิ้น ไม่ว่างานเล็ก งานใหญ่ ออกทีวีหรือไม่ แม้กระทั่งคอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว จนหลังๆพวกเราเริ่มเกรงใจ แต่ก็ไปนะ

                                                                  แถวหน้าจากซ้าย ป๋วย ผม อ๊อด เล็ก ก๊อต แป๋ว

จนวันหนึ่ง พวกเราทราบล่วงหน้าแล้วว่าวันเกิดของก๊อตเพิ่งผ่านไป จึงหุ้นสตางค์กันในวงเพื่อซื้อเค้กวันเกิดให้ก๊อตเป็นของขวัญ เรานำเค้กวันเกิดออกมาตอนบ่ายๆหลังจากซาวด์เช็คที่ผับแห่งหนึ่งเสร็จ วันนั้นเป็นวันที่น่าประทับใจมาก ขอบคุณครับก๊อต ที่มีน้ำใจ ให้ความเป็นกันเองและไม่เคยดูถูกดูแคลนพวกเราเลย

จากซ้าย พี่อู้ด พี่พร ก๊อต แป๋ว อึ่ง ผม เล็ก อ๊อด ป๋วย ติ๊ก





                                                                                พี่มด ผู้จัดการใจดีของก๊อต

*ตอนนั้นผมได้ชวนเพื่อนของผม2คนเข้ามาแทนที่สมาชิกที่ออกไป ป๋วย(แบ็คอัพพี่ธงชัย ประสงค์สันติกับผม) และ เล็ก(อดีตมือกลองวง ฟองสบู่)

ตอนที่ 18 (วัยใส)

โต๊ะตุ้มตั้น  (พ.ศ.2535)

ผมยกกีตาร์ Gibson Lespaul ออกจากกล่อง ส่งปลายสายjackอีกด้านหนึ่งให้ พี่อู้ด สิทธิพร อมรพันธุ์(อดีตมือกีตาร์ The Impossibles)  เนื่องจากตู้แอมป์กีตาร์อยู่ภายในบริเวณข้างโต๊ะทำงานของแก “เล่นอะไรก็ได้ไปเรื่อยๆ เราจะปรับแอมป์ให้” ระหว่างที่ผมไล่นิ้วบนคอกีตาร์ไปเรื่อยๆ พี่อู้ดที่ซึ่งยังคงก้มหน้าก้มตา(ทำเป็นแกล้ง)ปรับแอมป์ ปากก็ชวนผมคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นระยะ จำได้ว่าผมเล่นไปได้ไม่กี่โน้ตพี่อู้ดก็ผละหน้าจากตู้แอมป์หันมาทางผม “เล่นใช้ได้นี่” แล้วแกก็หยิบสัญญาว่าจ้างขึ้นมาให้ผมกรอกรายละเอียดพร้อมเซ็นชื่อ นั่นคือวันแรกที่ผมได้ร่วมงานกับ EOบริษัทที่ทำและจัดการเกี่ยวกับงานแสดงทั้งหมดในเครือ แกรมมี่ โดยมีพี่อู้ดเป็นเจ้านายสายตรง


ผมถูกจับให้ไปอยู่กับวงแบ็คอัพวงใหม่ในบริษัทวงหนึ่งซึ่งพวกเขาขาดมือกีตาร์ งานแรกที่ได้รับมอบหมายจากพี่อู้ดคือ แกะเพลงเพื่อเตรียมทำการซ้อมกับ พี่โต๊ะ(วสันต์ โชติกุล) อัลบั้ม ขึ้นโต๊ะ ผมดีใจมากเพราะผมชื่นชอบพี่โต๊ะมาตั้งแต่ Isn’t สมัยผมยังเด็กๆ แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้เพราะผมไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้เล่นดนตรีกับสมาชิกวงแบ็กอัพวงนี้คนไหนมาก่อนเลย เรียกว่ามาเดี่ยวๆโดดๆ น่ากลัวเหมือนกัน แต่ตอนนั้นต้องมุ่งประเด็นไปที่พี่โต๊ะเป็นอันดับแรก ผมตั้งใจเก็บตัวอยู่แต่บนห้องนอน แกะเพลง แล้วก็ทวน แล้วก็ทวน แล้วก็ทวน เป็นแบบนี้อยู่จนกระทั่งวันกำหนดการนัดซ้อมมาถึง(ผมจำไม่ได้ว่าวงแบ็คอัพได้ซ้อมกันก่อนหน้านี้หรือไม่ อาจจะมีครั้งหรือสองครั้ง) วันนั้นผมเห็นพี่โต๊ะตัวจริงเป็นครั้งแรก ผมตื่นเต้นมาก และยิ่งไปกว่านั้นพี่โต๊ะชวน พี่ตุ้ม วีระ โชติวิเชียร(อดีตวง White Support ,มิติ)มาเล่นกีตาร์ด้วย ตลอดการซ้อม พี่ทั้งสองคนใจดีและมีความเป็นมิตรมากครับ ไว้ใจและแบ่งไลน์กีตาร์ให้ผมเล่นเยอะเลย โดยเฉพาะ แทนคำนั้น และเพลง เชิญแขก ในสไตล์บลูส์ ที่พี่โต๊ะแบ่งให้พี่ตุ้ม ผม และตัวพี่โต๊ะเองโซโล่อิมโพรไวส์กีตาร์ในจำนวนท่อนที่เท่าๆกัน พอจบเพลงพี่โต๊ะพูดขึ้นมาแบบติดตลก ว่า นี่มือกีตาร์3คนของวงเรา โต๊ะตุ้มตั้น ตั้นตุ้มโต๊ะ กีตาร์ก็เป็นแบบยอดนิยมทั้ง3รุ่น เทเลคาสเตอร์ สตราโตคาสเตอร์ เลสพอล ขนาดวันนี้นึกย้อนกลับไปผมยังแอบอมยิ้ม เรานัดซ้อมกันได้ประมาณ2-3ครั้งก็ทราบข่าวร้ายสำหรับผม ได้ยินมาว่าพี่โต๊ะคุยกับพี่อู้ด อยากหาวงแบ็คอัพเองโดยจะขอตัวผมกับมือเบสแค่สองคนไปรวมกับทีม Isn’t ซึ่งพี่อู้ดไม่ตกลง ความฝันที่จะได้เล่นดนตรีกับพี่โต๊ะและพี่ตุ้มจึงจบลงแต่เพียงแค่นั้น.

   ช่วงแกะเพลงเพื่อไปซ้อมกับพี่โต๊ะ

ตอนที่17 (วัยใส)

ยังชีพ (พ.ศ.2533-2534)

จบจากมหาวิทยาลัยได้เกือบปี ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำนะครับ แต่มันเหมือนกับอาชีพทั่วๆไปคือ ถ้าเราหายไปนานๆ ช่องทางของเราก็จะถูกแทนที่โดยผู้อื่นไปแล้ว วงดนตรีของพี่โหนกและเพื่อนๆกำลังไปได้ดีในงานเล่นประจำยามราตรีสมาชิกวงครบถ้วนแล้ว งานทำเพลงคาราโอเกะคอมพิวเตอร์ ลองทำไปส่งจำนวนหนึ่งเรื่องรายได้ก็เงียบหาย มีโอกาสได้คุยกับ เค้ก(น้องชายของพี่ป้อม ออโตบาห์น)ที่เคยเล่นดนตรีแบ็คอัพกับผม(งานพี่ธงชัย ประสงค์สันติ) เค้กบอกผมว่าตอนนี้ทำงานที่ห้องบันทึกเสียงเล็กๆให้พี่คนหนึ่ง เป็นบริษัทรับทำโฆษณาซึ่งแฟนของเค้กทำงานอยู่ ผมฟังแล้วก็สนใจไถ่ถามเค้กว่า พี่เขาต้องการคนเพิ่มไหม? เค้กไม่แน่ใจแต่ก็พาผมไปแนะนำตัวให้ได้รู้จักกันก่อน

ห้องบันทึกเสียงนี้อยู่บริเวณห้องใต้ดินของบริษัทแห่งหนึ่งแถวเพลินจิต เป็นห้องเล็กๆกะทัดรัด ภายในถูกแบ่งเป็นห้องย่อยอีกห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้บันทึกเสียงอ่านสปอตโฆษณา กวาดตามองห้องคอนโทรลจะเห็น เครื่องเทปรีล8tracks แผงมิกซ์ และเครื่องเทปคาสเซ็ท พี่เขาเล่าว่าห้องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท(ของพี่เขย ซึ่งแกทำงานและเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เท่านั้น) ทำเพราะอยากทำ และบริษัทก็ใจดีไม่ได้คิดค่าเช่าแต่อย่างใด โปรเจคใหญ่คือแกแต่งเพลงไว้จำนวนหนึ่งอยากจะทำออกมาเป็นผลงานอัลบั้ม โปรเจครองคือรับทำเพลงโฆษณาเพื่อที่จะหาเงินมาทำทุนซื้อเครื่องดนตรีและเครื่องมือจำเป็นเข้าสตูดิโอแห่งนี้ ถามประวัติผมเล็กน้อย พูดคุยเรื่องอื่นกันนิดหน่อยอย่างเป็นกันเอง จากวันนั้นผมก็กลายเป็นหนึ่งในทีมทำเพลง*

เพลงอัลบั้ม*ได้ถูกเริ่มและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่งานเพลงโฆษณาก็เริ่มเข้า ส่วนใหญ่เป็นเพลงภาษาอังกฤษซึ่งแกรับหน้าที่เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง เค้กกับผมมีหน้าที่คอยเรียบเรียงดนตรี และบันทึกเสียงเพื่อนำเพลงตัวอย่าง(เสมือนจริง)ไปเสนอลูกค้า ถ้าลูกค้าชอบก็ส่งเรื่องกลับมาเพื่อบันทึกเสียงใหม่บางส่วน เพิ่มเติมอีกบางส่วนให้สมบูรณ์ ถ้าลูกค้าไม่ชอบก็ต้องแก้ บางครั้งต้องรื้อและทำไปเสนอใหม่ เอาจนผ่าน ถ้าผ่านก็กลับมาทำกรรมวิธีเดิมแบบข้างต้น แต่บางครั้งงานก็ไม่ผ่านแบบลูกค้าไม่เอาเลย นั่นคือพี่เขาก็แต่งเพลงเก้อ พวกผมก็เรียบเรียงและบันทึกเสียงเก้อ(ขณะนั้นห้องนี้ยังไม่มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะครับ อัดสดอย่างเดียว) ทำแบบนี้วนๆไป ในขณะที่เพลงอัลบั้มก็ยังเดินหน้าอยู่ตลอด แกชอบบ้าง แก้งานบ้าง รื้องานใหม่บ้างว่ากันไป เค้กกับผมนัดกันเข้าไปทำงานเกือบทุกวันเพราะเราถือว่านี่คืองานประจำ(แบบไม่มีเงินเดือน) โดยมีความหวังว่า หากอัลบั้มของแกเสร็จ คงมีอะไรที่ดีกว่านี้ 

ตัวผมเองมองงานนี้เป็นหลักยึดอันเดียวของชีวิตในตอนนั้น มีรายได้มาจากที่พี่เขาขายงานเพลงโฆษณา*(เพลงละประมาณ3-5หมื่นบาท)โดยจะแบ่งให้พวกเราคนละประมาณ4-5พันบาท แล้วแต่งานแล้วแต่เพลง เฉลี่ยเดือนต่อ1เพลง โดยแกไม่เอาค่าแต่งเพลงสักบาท (มีงานโชว์แสดงดนตรีที่แกกรุณาหามาให้งานหรือสองงาน เป็นรายได้เสริม*)เงินก้อนที่เหลือในแต่ละงานนำไปหาซื้ออุปกรณ์เข้าห้องบันทึกเสียง ซึ่งแกก็ให้เกียรติเค้ก*กับผม พูดอยู่เสมอว่าพวกเราทั้งหมดเป็นหุ้นส่วนของห้องนี้ “ทุกอย่างในห้องนี้มีเงินของพวกยูรวมอยู่ด้วย”(ตามเจตนารมณ์ของแกคือ “จ่ายสด”นิดหน่อยให้พออยู่ได้ ส่วนที่เหลือก็ ค่าแรงแปลงเป็นหุ้น) ถ้ายังมีเงินเหลืออีก ก็เก็บเป็นกองกลางเผื่อเอาไว้ใช้จ่ายทั่วไป(ที่เกี่ยวกับห้องบันทึกเสียงนั่นล่ะครับ เช่นซ่อมบำรุงเครื่องมือ ค่าจ้างนักร้องนักดนตรีคนอื่นๆที่ไม่ได้ทำประจำกับแกในแต่ละjob*) โดยให้พี่รุ่งน้องชายของแกเป็นคนเก็บและทำบัญชี ซึ่งเงินกองกลางนี้พวกผมสามารถทำเรื่องเบิกล่วงหน้าได้นะครับถ้ามีเหตุผลจำเป็นจริงๆ โดยเก็บไปหัก “จ่ายสด”จากค่าทำเพลงในjobต่อไป


จากซ้าย พี่ป้อม ผม เค้ก โจเซ่

แสดงดนตรีประกอบการเดินแฟชั่นโชว์ ห้างไทม์สแควร์

ตลอดระยะเวลาปีกว่าๆนั้นผมสนุกกับการทำงานที่นี่มาก เพราะได้ใช้หัวสร้างสรรค์ทำงานดนตรีที่ผมรัก แต่แม่ของผมเป็นทุกข์ ถามผมว่าออกไปทำงานเกือบทุกวันแล้วทำไมยังต้องมาขอเงินแม่ไปเติมน้ำมันรถอยู่ ผมพูดไม่ออก ไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามของแม่ได้ และรู้อยู่แก่ใจว่าอัลบั้มของพี่เขาคงไม่เสร็จสิ้นง่ายๆ สุดท้ายผมทนแรงกดดันจากทางบ้านไม่ไหว ขอเบิกเงินกองทุนล่วงหน้าจากพี่รุ่ง*ออกมาไม่กี่พันแล้วไม่กลับไปทำงานที่นั่นอีกเลย* โดยถือว่าขายหุ้นเครื่องดนตรีและเครื่องมือห้องบันทึกเสียงในส่วนของผมคืนให้พี่เขา.


                             จากซ้าย พี่กิตติคุณ สดประเสริฐ มือเชลโลอันดับต้นๆของเมืองไทย มาร่วมงานอัดกีตาร์ ,พี่รุ่ง

*นอกจากเค้กแล้ว ตอนนั้นยังมี ยัต (พยัต ภูวิชัย)อยู่ในทีมด้วย ผมเจอยัตอยู่สองสามครั้ง แล้วยัตก็หายไป

*ต่อมาไม่กี่ปี เพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ ได้รางวัล สีสันอวอร์ด (ไม่ใช่เวอร์ชั่นในช่วงที่ผมทำงานอยู่)

*เท่าที่จำได้ มีเพลงโฆษณาโรงแรมมากที่สุด ประมาณ5เพลง เพลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ 1เพลง เพลงโฆษณาเครื่องปรับอากาศ 1เพลง ถูกเปิดตามรายการวิทยุคลื่นภาษาอังกฤษทั่วไป

                               เค้ก ผม เล็ก(อดีต ฟองสบู่)เล็กเคยสนใจงาน มาคุยกับพี่เขาครั้งหนึ่ง แต่ตัดสินใจไม่เข้าร่วม


                                                                                  งานปีใหม่บริษัทพ่อเพื่อน

*ช่วงนั้นผมกับเค้กพยายามหางานแสดงดนตรีเป็นรายได้เสริมอยู่หลายงาน สองงานในนั้นคือ งานปีใหม่บริษัทของพ่อเพื่อนผม และงานแต่งงานพี่ชายของผมเอง อัฐยายซื้อขนมยาย

*เค้กยังคงทำเพลงอยู่ที่นั่นอีกพักใหญ่ๆ ผมมีโอกาสโทรศัพท์ไปคุยกับเค้กครั้งหนึ่ง เพื่อขอโทษ (เพราะเค้กเป็นคนแนะนำผมเข้าทำงาน)

*พี่โอ๋ ธีร์ ไชยเดช เคยมาบันทึกเสียงร้องอยู่เพลงหนึ่ง ก่อนพี่โอ๋ออกอัลบั้มแรกหลายปี

 *ผ่านมานานพอสมควร ผมมีโอกาสโทรศัพท์ไปปรับความเข้าใจกับพี่รุ่ง แต่ต่างคนก็ยังคงมองต่างมุม (ยืนยันครับว่าพี่ทั้งสองคนเป็นคนดีและทุ่มเทกับงานมาก แต่มุมที่เรามองอาจต่างกัน)

*ไม่ดีเลยนะครับ ไปไม่ลา มาไม่ไหว้ แต่ด้วยวัยนั้นในวันนั้น ผมคิดแก้ปัญหาได้แค่นั้นจริงๆ โดยไม่ให้ใครเสียเปรียบใคร และเพื่อความสบายใจของแม่

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

The Wanderers (ตอนที่3)


โจทย์ของพวกเราคือ เวลา20วันในการบันทึกเสียง เพื่อผลิตเป็นซีดีให้เสร็จทันงาน Fat Festival#2 และต้องทำวัตถุดิบ 5เพลงที่มีอยู่ แตกตัวออกมาให้ได้10 เพื่อความคุ้มค่าของแฟนเพลงในการจ่ายสตางค์ซื้อมัน พี่เต็ดเสนอให้นำเพลง นอกวงโคจร ไปให้ดีเจชื่อดังในขณะนั้น รีมิกซ์ เป็นอีก2เวอร์ชั่น เพราะเป็นช่วงที่เพลงประเภทรีมิกซ์กำลังได้รับความนิยมตามสถานที่จัดงานปาร์ตี้ต่างๆ ผมเสนอให้นำเพลง นอกวงโคจร เวอร์ชั่นเดโมที่ถูกเปิดในช่วงbedroom* คลื่นFat Radio บรรจุเข้าไปด้วย เนื่องจากเป็นเวอร์ชั่นสร้างชื่อกับกลุ่มแฟนเพลงไปแล้ว เพลง ไกล ปกติถูกดีไซน์ไว้ด้วยเครื่องดนตรีมากชิ้น บังเอิญเอ็กซ์เคยเล่าให้ผมฟังว่าเพลงนี้ แต่งขึ้นมาจากเหตุการณ์การหายสาบสูญไปของนักร้องชายวงThe Finในทะเลฟลอริดา ซึ่งเขาเป็นน้องชายแท้ๆของภรรยาเอ็กซ์  ผมจึงเสนอให้ทำเวอร์ชั่นที่เศร้าและเวิ้งว้างกว่า เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งเวอร์ชั่น และสุดท้ายผมคิด riff เบสเพลง บางวัน ขึ้นใหม่ให้แตกต่างจากไลน์เบสในโครงเพลงเดิมที่เอ็กซ์ได้ทำไว้ เพื่อบันทึก บางวัน อีกหนึ่งเวอร์ชั่น

ห้องที่ใช้บันทึกเสียงหลักคือห้อง Sony Studio* ตึกQ House เพลินจิต ช่วงท้ายของการบันทึกเสียงย้ายสลับไปที่ห้อง Studio Insert* (ของพี่เสริฐ อดีต เปเปอร์แจม, ฮอทด๊อก)อยู่แถวกลางๆอ่อนนุช เพราะคิวห้องชนกันนัว รีบนี่ครับ ใครๆก็เร่ง สุดท้ายทุกอย่างก็เรียบร้อยตามแผนงานที่วางไว้* เสร็จสมบูรณ์แบบที่เห็นอยู่ในมือของหลายๆท่าน.

*The Wanderers ได้รางวัลศิลปิน bedroom Studio ยอดเยี่ยม และรับรางวัลในปีถัดมา

*ปัจจุบันสตูดิโอทั้งสองแห่ง ไม่มีแล้วนะครับ


*dataเพลงทั้งหมด ถุกนำกลับมาmix downที่ Sony Studio โดย Simon Henderson

The Wanderers (ตอนที่2)


ไม่กี่สัปดาห์ โครงเพลงที่เอ็กซ์ทำมาก็ค่อนข้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเราสามคนนัดพูดคุยและแจมดนตรีกันบ่อยพอสมควร ตอนนั้นเอ็กซ์มีความคิดว่าควรจะเพิ่มสมาชิกอีกสักคน เพื่อมารองรับไลน์คีย์บอร์ดที่เอ็กซ์ดีไซน์ไว้คร่าวๆ ในวันที่เอ็กซ์นัดผมไปใส่เสียงร้องไกด์ที่ห้องบันทึกเสียงของรุ่นพี่ที่เอ็กซ์นับถือ กบ นิมิตร จิตรานนท์* (อดีตวงThe Fin สามีของเจี๊ยบ วรรธนา) วันนั้นเราก็ได้มือคีย์บอร์ดสมใจเอ็กซ์

วอร์เนอร์ คือค่ายแรกที่ กบ ติดต่อให้พวกเราเอาตัวอย่างเพลงไปเสนอ ผลคือไม่ได้รับการตอบกลับ หลังจากนั้นบังเอิญผมได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่งชื่อ Fat Radio ที่เปิดแต่เพลงแปลกหู สำคัญคือมีช่วงเวลาที่เรียกว่า bedroom จัดโดยพี่โต้ สุหฤทธิ์ สยามวาลา* ผู้ฟังสามารถนำผลงานเพลงของตัวเอง บันทึกเสียงแบบง่ายๆ ส่งไปให้ทางรายการเปิดออกอากาศได้ ผมจึงปรึกษาและขออนุญาตเอ็กซ์ เพื่อส่งซีดีตัวอย่างเพลงของวงไปที่นั่น ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า “ถึงจะไม่มีค่ายสนับสนุนให้ทำอัลบั้ม อย่างน้อยก็ได้เผยแพร่ผลงานให้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังกัน”* ปรากฏว่าได้ผล เพลง นอกวงโคจร ได้รับความกรุณาเปิดออกอากาศ มีผู้ฟังชื่นชอบและขอให้เปิดบ่อยครั้ง จนพี่เต็ด ยุทธนา บุญอ้อม ผู้บริหารคลื่นFatนัดคุย*

หลังจากสรุปกับพี่เต็ดคร่าวๆ พี่เต็ดก็นัดกับพวกเราให้เข้าไปคุยกับผู้บริหาร โซนี่มิวสิค ในวันถัดมา วันเดียวกันกับวงดนตรี สตรีท ฟังค์ โรลเลอร์ ซึ่งนับเป็นสองวงดนตรีแรกในการเปิดตัวค่ายใหม่นาม Black Sheep.

*กบ ขอถอนตัวจากวงก่อนที่จะเซ็นสัญญาบันทึกเสียง
*กบ เสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์ขณะเดินทางไปถ่ายทำรายการ รอยเท้า ความฝัน ผู้คน ดนตรี ที่ประเทศอินเดีย

*ขอขอบคุณพี่โต้อย่างสูงอีกครั้งนะครับ

*ตอนนั้นยังไม่มี You Tube

*หลังจากที่นั่งคุยกันที่Fat Radioเสร็จ พี่เต็ดพูดกับผมว่า “คุณรู้ไหม มีคนให้เครดิตคุณด้วยนะ” ถามไปถามมาถึงรู้ว่า คนหนึ่งคือ ต้อม วิเศษนิยม อีกคนคือ พี่โอ๋ ซีเปีย (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ขอขอบคุณทั้งสามท่านมา ณ.ที่นี้ครับ

The Wanderers (ตอนที่1)


เอ็กซ์ (วรเวท จันทรบุตร) ได้โทรศัพท์หาผมในวันหนึ่งเพื่อปรึกษาเรื่องทำวงดนตรี ผมถามกลับไปว่า “วงอะไร” เอ็กซ์ตอบกลับมาว่า “Wanderers ครับพี่”

อันที่จริงผมกับเอ็กซ์รู้จักกันมาหลายปีแล้ว(พ.ศ.2541)จากค่ายเดิมคือ ไมล์สโตน ตอนนั้นผมเป็นน้องใหม่หมาดๆเพิ่งมีโอกาสเข้าไปคุยกับนายห้าง(พี่ซัน มาโนช พุฒตาล)วันแรกเลยหลังจากที่ได้รับการตอบกลับเรื่องการทำอัลบั้ม พาราณสี ออเคสตรา เอ็กซ์ อรรถ อั๋น ซึ่งกำลังจะออกซิงเกิ้ลThe Wanderers จำนวน2เพลง(ในตาของเธอ, ภาพลวงตา)ในงานรวมศิลปินไมล์สโตน demoก็้าส tracks(1) ได้เดินเข้ามาทักทายและชวนผมพูดคุยให้ผมได้หายเก้อเขินขึ้นมาบ้าง เพราะผมไม่รู้จักใครในที่นั้นเลย ผมได้ฟังเพลงของ Wanderersครั้งแรกก็วันนั้นนั่นเอง เพลงดีครับ เท่ สด มีกลิ่นอายของ U2 ผมชอบมากจริงๆ ยังคิดในใจเลยว่าวันหนึ่งอยากจะร่วมงานกับวงดนตรีวงนี้ หลังจากนั้นก็ได้พบปะพูดคุยกันหลายต่อหลายครั้งตามวาระและโอกาสเพราะเราอยู่ค่ายเดียวกัน ปีพ.ศ.2543 ผมกับเพื่อน*หาที่ทำโรงเรียนดนตรีเล็กๆอยู่แถวถนนพระรามที่2 เอ็กซ์ก็แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนผมอยู่เป็นประจำ เรียกว่าเป็นคนสม่ำเสมอทั้งต้นทั้งปลาย





วันที่เอ็กซ์โทรมา ผมดีใจมาก สิ่งที่ผมเคยคิดกำลังจะเป็นจริง เอ็กซ์นัด อรรถ อั๋น มาพูดคุยและแจมดนตรีกับผมที่โรงเรียนดนตรี โดยผมรับหน้าที่เป็นมือกีตาร์ที่2 ผมยอมรับว่าวิธีการและสำเนียงกีตาร์ของผม มันไม่ได้เข้ากับสไตล์เพลงของเอ็กซ์เลย ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าเรานัดแจมกันครั้งหรือสองครั้ง เอ็กซ์ก็เงียบไป



แล้วอยู่ๆเอ็กซ์ก็โทรมาหาผมอีก บอกกับผมว่ายังอยากทำ Wanderersอยู่ แต่ อรรถ อั๋น ไม่สะดวกเล่นด้วยแล้ว ผมเสนอตัวเล่น เบส ทันที น้ำเสียงของเอ็กซ์ไม่แน่ใจเพราะเอ็กซ์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมชอบเล่นเบสมาก พอๆกับรักที่จะเล่นกีตาร์ พอได้อธิบายอะไรกันนิดหน่อยเอ็กซ์ก็ตอบตกลง ยอมให้ผมอยู่ในตำแหน่งเบส(ทั้งๆที่ตอนนั้นผมว่าเอ็กซ์ก็คงยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าผมเล่นเบสได้) พวกเราเงียบๆกันไปอีกสักพัก ก็หลายวันอยู่นะครับที่เอ็กซ์จะโทรกลับมาหาผมอีกที พร้อมกับบอกว่า “หามือกลองไม่ได้” ผมบอกเอ็กซ์ว่าถ้าไม่เกี่ยงเรื่องอายุที่มันจะโดด*กันอยู่นะ “มีน่าสนใจอยู่คนหนึ่ง”

ผมพาเอ็กซ์มาส่องที่ช่องกระจกของห้องซ้อมกลองในเย็นวันหนึ่ง เจ้าของเสียงกลองเสียงนี้มาซ้อมกลองเกือบทุกวัน โท เอกรัฐ กังวรรัตน์ เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนวิชากลองในใจของผมเลย เอ็กซ์เห็นแล้วก็ชอบ ขออนุญาตเปิดประตูห้องเข้าไปพูดคุย* แล้วในวันนั้น Wanderers ก็ได้มือกลอง


 *อดีตภรรยา

*โท ในตอนนั้น อายุ16 ย่าง17 เอ็กซ์ 30 ผม 34

*วลีเด็ดในการพูดคุยของเอ็กซ์ในวันนั้นคือ “ลองตีกลองแบบเศร้าๆให้ฟังสิครับ”