ก่อนเปิดห้อง

ห้องเก็บของสำหรับผม ก็คล้ายๆเป็นที่เก็บความทรงจำมากมายหลายอย่าง ของที่ยังใช้ได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ ของที่เสียที่ชำรุดแล้ว แต่มีค่ามากกว่าที่จะทิ้งมันไป ของเก่าๆที่ไม่เข้ากับชีวิตปัจจุบัน กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รูปภาพ ม้วนเทปเพลงที่เคยแต่งเคยบันทึกไว้ง่ายๆ นานจนลืมไปแล้วว่ามีกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง จดหมาย สมุดบันทึกในช่วงชีวิตต่างๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมมากมายที่ครอบครัวผมเองก็ยังไม่เคยรู้ นานมากแล้วนะ ที่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปดูมันเลย ลองเข้าไปดูกับผมมั้ย?

*ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของรูปภาพประกอบเรื่องราวทั้งหลายมา ณ.ที่นี้ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ออกแบบปกอัลบั้มต่างๆ ทั้งภาพที่พี่ๆศิลปินส่งมาให้ ภาพเก่าที่บราเธอร์ , มาสเตอร์ หรือเพื่อนเก่าๆได้ถ่ายเอาไว้ ใครเป็นคนถ่ายบ้างก็ไม่รู้มั่วไปหมด รูปภาพที่มีผม ผมไม่ได้ถ่ายเองอยู่แล้ว แม้บางภาพจะเป็นกล้องและฟิล์มของผมเองก็ตาม


วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตอนที่17 (วัยใส)

ยังชีพ (พ.ศ.2533-2534)

จบจากมหาวิทยาลัยได้เกือบปี ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำนะครับ แต่มันเหมือนกับอาชีพทั่วๆไปคือ ถ้าเราหายไปนานๆ ช่องทางของเราก็จะถูกแทนที่โดยผู้อื่นไปแล้ว วงดนตรีของพี่โหนกและเพื่อนๆกำลังไปได้ดีในงานเล่นประจำยามราตรีสมาชิกวงครบถ้วนแล้ว งานทำเพลงคาราโอเกะคอมพิวเตอร์ ลองทำไปส่งจำนวนหนึ่งเรื่องรายได้ก็เงียบหาย มีโอกาสได้คุยกับ เค้ก(น้องชายของพี่ป้อม ออโตบาห์น)ที่เคยเล่นดนตรีแบ็คอัพกับผม(งานพี่ธงชัย ประสงค์สันติ) เค้กบอกผมว่าตอนนี้ทำงานที่ห้องบันทึกเสียงเล็กๆให้พี่คนหนึ่ง เป็นบริษัทรับทำโฆษณาซึ่งแฟนของเค้กทำงานอยู่ ผมฟังแล้วก็สนใจไถ่ถามเค้กว่า พี่เขาต้องการคนเพิ่มไหม? เค้กไม่แน่ใจแต่ก็พาผมไปแนะนำตัวให้ได้รู้จักกันก่อน

ห้องบันทึกเสียงนี้อยู่บริเวณห้องใต้ดินของบริษัทแห่งหนึ่งแถวเพลินจิต เป็นห้องเล็กๆกะทัดรัด ภายในถูกแบ่งเป็นห้องย่อยอีกห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้บันทึกเสียงอ่านสปอตโฆษณา กวาดตามองห้องคอนโทรลจะเห็น เครื่องเทปรีล8tracks แผงมิกซ์ และเครื่องเทปคาสเซ็ท พี่เขาเล่าว่าห้องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท(ของพี่เขย ซึ่งแกทำงานและเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เท่านั้น) ทำเพราะอยากทำ และบริษัทก็ใจดีไม่ได้คิดค่าเช่าแต่อย่างใด โปรเจคใหญ่คือแกแต่งเพลงไว้จำนวนหนึ่งอยากจะทำออกมาเป็นผลงานอัลบั้ม โปรเจครองคือรับทำเพลงโฆษณาเพื่อที่จะหาเงินมาทำทุนซื้อเครื่องดนตรีและเครื่องมือจำเป็นเข้าสตูดิโอแห่งนี้ ถามประวัติผมเล็กน้อย พูดคุยเรื่องอื่นกันนิดหน่อยอย่างเป็นกันเอง จากวันนั้นผมก็กลายเป็นหนึ่งในทีมทำเพลง*

เพลงอัลบั้ม*ได้ถูกเริ่มและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่งานเพลงโฆษณาก็เริ่มเข้า ส่วนใหญ่เป็นเพลงภาษาอังกฤษซึ่งแกรับหน้าที่เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง เค้กกับผมมีหน้าที่คอยเรียบเรียงดนตรี และบันทึกเสียงเพื่อนำเพลงตัวอย่าง(เสมือนจริง)ไปเสนอลูกค้า ถ้าลูกค้าชอบก็ส่งเรื่องกลับมาเพื่อบันทึกเสียงใหม่บางส่วน เพิ่มเติมอีกบางส่วนให้สมบูรณ์ ถ้าลูกค้าไม่ชอบก็ต้องแก้ บางครั้งต้องรื้อและทำไปเสนอใหม่ เอาจนผ่าน ถ้าผ่านก็กลับมาทำกรรมวิธีเดิมแบบข้างต้น แต่บางครั้งงานก็ไม่ผ่านแบบลูกค้าไม่เอาเลย นั่นคือพี่เขาก็แต่งเพลงเก้อ พวกผมก็เรียบเรียงและบันทึกเสียงเก้อ(ขณะนั้นห้องนี้ยังไม่มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะครับ อัดสดอย่างเดียว) ทำแบบนี้วนๆไป ในขณะที่เพลงอัลบั้มก็ยังเดินหน้าอยู่ตลอด แกชอบบ้าง แก้งานบ้าง รื้องานใหม่บ้างว่ากันไป เค้กกับผมนัดกันเข้าไปทำงานเกือบทุกวันเพราะเราถือว่านี่คืองานประจำ(แบบไม่มีเงินเดือน) โดยมีความหวังว่า หากอัลบั้มของแกเสร็จ คงมีอะไรที่ดีกว่านี้ 

ตัวผมเองมองงานนี้เป็นหลักยึดอันเดียวของชีวิตในตอนนั้น มีรายได้มาจากที่พี่เขาขายงานเพลงโฆษณา*(เพลงละประมาณ3-5หมื่นบาท)โดยจะแบ่งให้พวกเราคนละประมาณ4-5พันบาท แล้วแต่งานแล้วแต่เพลง เฉลี่ยเดือนต่อ1เพลง โดยแกไม่เอาค่าแต่งเพลงสักบาท (มีงานโชว์แสดงดนตรีที่แกกรุณาหามาให้งานหรือสองงาน เป็นรายได้เสริม*)เงินก้อนที่เหลือในแต่ละงานนำไปหาซื้ออุปกรณ์เข้าห้องบันทึกเสียง ซึ่งแกก็ให้เกียรติเค้ก*กับผม พูดอยู่เสมอว่าพวกเราทั้งหมดเป็นหุ้นส่วนของห้องนี้ “ทุกอย่างในห้องนี้มีเงินของพวกยูรวมอยู่ด้วย”(ตามเจตนารมณ์ของแกคือ “จ่ายสด”นิดหน่อยให้พออยู่ได้ ส่วนที่เหลือก็ ค่าแรงแปลงเป็นหุ้น) ถ้ายังมีเงินเหลืออีก ก็เก็บเป็นกองกลางเผื่อเอาไว้ใช้จ่ายทั่วไป(ที่เกี่ยวกับห้องบันทึกเสียงนั่นล่ะครับ เช่นซ่อมบำรุงเครื่องมือ ค่าจ้างนักร้องนักดนตรีคนอื่นๆที่ไม่ได้ทำประจำกับแกในแต่ละjob*) โดยให้พี่รุ่งน้องชายของแกเป็นคนเก็บและทำบัญชี ซึ่งเงินกองกลางนี้พวกผมสามารถทำเรื่องเบิกล่วงหน้าได้นะครับถ้ามีเหตุผลจำเป็นจริงๆ โดยเก็บไปหัก “จ่ายสด”จากค่าทำเพลงในjobต่อไป


จากซ้าย พี่ป้อม ผม เค้ก โจเซ่

แสดงดนตรีประกอบการเดินแฟชั่นโชว์ ห้างไทม์สแควร์

ตลอดระยะเวลาปีกว่าๆนั้นผมสนุกกับการทำงานที่นี่มาก เพราะได้ใช้หัวสร้างสรรค์ทำงานดนตรีที่ผมรัก แต่แม่ของผมเป็นทุกข์ ถามผมว่าออกไปทำงานเกือบทุกวันแล้วทำไมยังต้องมาขอเงินแม่ไปเติมน้ำมันรถอยู่ ผมพูดไม่ออก ไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามของแม่ได้ และรู้อยู่แก่ใจว่าอัลบั้มของพี่เขาคงไม่เสร็จสิ้นง่ายๆ สุดท้ายผมทนแรงกดดันจากทางบ้านไม่ไหว ขอเบิกเงินกองทุนล่วงหน้าจากพี่รุ่ง*ออกมาไม่กี่พันแล้วไม่กลับไปทำงานที่นั่นอีกเลย* โดยถือว่าขายหุ้นเครื่องดนตรีและเครื่องมือห้องบันทึกเสียงในส่วนของผมคืนให้พี่เขา.


                             จากซ้าย พี่กิตติคุณ สดประเสริฐ มือเชลโลอันดับต้นๆของเมืองไทย มาร่วมงานอัดกีตาร์ ,พี่รุ่ง

*นอกจากเค้กแล้ว ตอนนั้นยังมี ยัต (พยัต ภูวิชัย)อยู่ในทีมด้วย ผมเจอยัตอยู่สองสามครั้ง แล้วยัตก็หายไป

*ต่อมาไม่กี่ปี เพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ ได้รางวัล สีสันอวอร์ด (ไม่ใช่เวอร์ชั่นในช่วงที่ผมทำงานอยู่)

*เท่าที่จำได้ มีเพลงโฆษณาโรงแรมมากที่สุด ประมาณ5เพลง เพลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ 1เพลง เพลงโฆษณาเครื่องปรับอากาศ 1เพลง ถูกเปิดตามรายการวิทยุคลื่นภาษาอังกฤษทั่วไป

                               เค้ก ผม เล็ก(อดีต ฟองสบู่)เล็กเคยสนใจงาน มาคุยกับพี่เขาครั้งหนึ่ง แต่ตัดสินใจไม่เข้าร่วม


                                                                                  งานปีใหม่บริษัทพ่อเพื่อน

*ช่วงนั้นผมกับเค้กพยายามหางานแสดงดนตรีเป็นรายได้เสริมอยู่หลายงาน สองงานในนั้นคือ งานปีใหม่บริษัทของพ่อเพื่อนผม และงานแต่งงานพี่ชายของผมเอง อัฐยายซื้อขนมยาย

*เค้กยังคงทำเพลงอยู่ที่นั่นอีกพักใหญ่ๆ ผมมีโอกาสโทรศัพท์ไปคุยกับเค้กครั้งหนึ่ง เพื่อขอโทษ (เพราะเค้กเป็นคนแนะนำผมเข้าทำงาน)

*พี่โอ๋ ธีร์ ไชยเดช เคยมาบันทึกเสียงร้องอยู่เพลงหนึ่ง ก่อนพี่โอ๋ออกอัลบั้มแรกหลายปี

 *ผ่านมานานพอสมควร ผมมีโอกาสโทรศัพท์ไปปรับความเข้าใจกับพี่รุ่ง แต่ต่างคนก็ยังคงมองต่างมุม (ยืนยันครับว่าพี่ทั้งสองคนเป็นคนดีและทุ่มเทกับงานมาก แต่มุมที่เรามองอาจต่างกัน)

*ไม่ดีเลยนะครับ ไปไม่ลา มาไม่ไหว้ แต่ด้วยวัยนั้นในวันนั้น ผมคิดแก้ปัญหาได้แค่นั้นจริงๆ โดยไม่ให้ใครเสียเปรียบใคร และเพื่อความสบายใจของแม่