ระหว่างที่พี่ซันกำลังเดินออกจากกลุ่มไปไม่กี่ก้าว
แกหยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ค่อยๆเอี้ยวตัวหันกลับมาช้าๆ
สีหน้าและแววตาไม่ค่อยสู้ดี “ถ้าผมเป็นอะไรไป
ฝากลูกสาวผมด้วยนะ”
จากซ้าย วุธ ใบไม้ ผม พี่ซัน ต๊ะ
ผมมีโอกาสได้เข้าป่ากับพี่ซัน(มาโนช พุฒตาล)หนหนึ่ง
จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้ม พาราณสี ออเคสตรา (พ.ศ.2542)
ซึ่งช่วงเวลานั้นพี่ซันจะมีทริปเข้าป่าเพื่อท่องเที่ยวแบบออฟโรดบ่อยมาก ตัวผมเองเกิดมาไม่เคยได้ลุยป่าแบบจริงจัง
อย่างเก่งก็แค่ค่ายลูกเสือ ผมจึงเปรยๆกับพี่ซันไว้ว่า ถ้าพี่ซันเข้าป่าอีกชวนผมด้วยนะครับ
พี่ซันรับคำ และอีกไม่กี่วันแผนการเที่ยวป่าในครั้งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่าง ทริป ทุ่งแสลงหลวง-ทุ่งนางพญา
จังหวัดเพชรบูรณ์ สองวันหนึ่งคืน มีสมาชิกไปกันไม่กี่คนครับ มี ผม วุธ(ศราวุธ
แสงบุตร มือกีตาร์Growing Pain) ต๊ะ(ฝ่ายดูแลศิลปิน
และเป็นมือเบสสนับสนุนงานแสดงของ ไวล์ดซีด) พี่ซันพา ใบใม้ ลูกสาวอายุ3ขวบไปด้วย เราขับรถออกจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืดด้วยรถยนต์กระบะ2คัน
ไปฟ้าแจ้งเอาจังหวัดทางผ่าน บางช่วงมีฝนปรอยๆแปะมาที่หน้ากระจกรถ ผมไม่รู้เส้นทางหรอกครับ
อาศัยขับตามกันไปเกาะก้นกันให้ดีอย่าให้หลง(ทุกวันนี้ถ้าให้ขับรถไปอีกผมไปไม่ถูกแล้วครับ
จำทางไม่ได้จำได้แต่ท้ายรถพี่ซัน (ฮา)) ไปถึงที่ทำการอุทยานสายๆ ผมต้องเอารถ wanderer ของผมจอดทิ้งไว้ที่นั่นเพราะแรงรถไม่พอที่จะลุยขึ้นต่อ
กว่าจะถึงจุดหมายจริงอีกสิบกว่าหรือยี่สิบกว่ากิโลเมตรไม่แน่ใจ ผมปีนขึ้นไปนั่งยองๆในกระบะรถของพี่ซัน
กระแทกโคลงเคลงปุเลงๆ ทางขึ้นไม่ธรรมดาเลย(จะเรียกว่าทางก็คงไม่ได้)
ต้นไม้น้อยใหญ่ระเกะระกะ กิ่งต้นอะไรต่อมิอะไรต้องคอยสังเกต
ถ้าหลบไม่ดีหน้าตาเนื้อตัวมีหวังบอบช้ำหนัก ไม่นานนักเราก็มาถึงจุดหมายจนได้
ลักษณะเนินดินเรียบๆ แนวต้นไม้สูงค่อนข้างเป็นระเบียบเหมือนมีใครมาจัดเอาไว้
ไม่รกอย่างที่ผมคิด มองไปรอบๆมีแต่สีเขียวของใบไม้เห็นแล้วสบายตา กลิ่นดินหอมๆลอยเข้าจมูก
บรรยากาศแบบนี้ถ้าไม่ไป ก็ไม่มีทางได้เห็น คุ้มเหนื่อยจริงๆ
ชื่นชมธรรมชาติได้สักพัก พี่ซันบอกให้ขึ้นรถเพื่อพาไปล้างหน้าล้างตาที่ห้วยเล็กๆไม่ไกลจากจุดนั้น
เสร็จธุระจากน้ำใสๆในห้วยแกก็พาเรานั่งรถกลับมายังจุดเดิมตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆจวนเย็นย่ำแล้ว
เราจัดการนำสัมภาระลงจากรถ กางเต็นท์ แล้วตั้งวงรับประทานอาหารที่พี่นิดภรรยาของพี่ซันเตรียมไว้ให้จากกรุงเทพ
ต่อด้วยแอลกอฮอล์แก้กระหายคนละเล็กคนละน้อยยามค่ำ มีแสงเทียนและแสงจากตะเกียงเสริมบรรยากาศ
สลับกับแสงแวบวาบบนท้องฟ้าใกล้ๆคล้ายมีฝนตกอยู่ไม่ไกล ทำให้เราเพลินกับการสนทนา สนุกสนานจนลืมเวลา
ประมาณสักสี่ทุ่มหรือเท่าไรไม่แน่ใจ
ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันอย่างออกรส ใครสักคนในกลุ่มยื่นมือชี้ไปยังจุดมืดๆที่ไกลออกไป
พวกเราหันหน้ามองฝ่าความมืดไปยังทิศนั้น สังเกตเห็นลำแสงของไฟฉายกวาดไปมาเป็นระยะ
“คงเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้” พี่ซันบอก ในขณะที่ความเงียบเริ่มรวมตัวเข้ากับความมืด
ต่างยังคงจ้องเพ่งสายตาไปที่นั่น ไม่นานนักเราก็เริ่มเห็นเงาคน
เป็นคนสองคนเดินพ้นจากขอบเนินดิน และเป็นเงาชัดขึ้นเมื่อกระทบกับแสงแลบจากฟ้า บุคคลนิรนามทั้งสองคงเห็นแสงสว่างจากกลุ่มของเรา
จึงตรงรี่เข้ามา ชั่วอึดใจผมก็เห็นหน้าพวกเขาอย่างถนัด
ชายคนหนึ่งเดินอ้อมมายังด้านหลังของผมพร้อมกับก้มตัวโยนย่ามผ้าของเขาลงมากลางกลุ่ม
“ในนั้นมีปืน” น้ำเสียงห้วนๆของเขาผมยังจำได้ดี (ถึงเสียงจะไม่เหมือนอาสุเชาว์
พงษ์วิลัย แต่ก็สร้างความตกใจได้มากระดับหนึ่ง)
ถึงตอนนี้ไม่มีใครเปิดปากคุยกับใครแล้ว ความเงียบเข้าครอบผืนป่าบริเวณนั้นสิ้น
ต่างคนต่างรอฟัง คำต่อไป จากปากของเจ้าของปืนกระบอกตรงหน้า “ใครเป็นเจ้าของรถ”
เสียงของชายคนนั้นทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในกลุ่มของพวกเราเริ่มใจคอไม่ดีแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกลางป่าที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่และดึกสงัดเช่นนี้
พี่ซันรับเป็นเจ้าของรถ ทุกอย่างยังคงเงียบ ได้ยินแต่เสียงน้ำแข็งในแก้วละลาย
“ลงไปช่วยผมหน่อย รถผมติดหล่มอยู่ตรงทางที่จะขึ้นมา”
เรามองหน้ากันไม่ทันที่จะขยับปากพูดอะไร “ปืนผมฝากไว้ที่นี่ เดี๋ยวขึ้นมาเอา”
พี่ซันมองหน้าพวกเราพร้อมกับบอกให้ชายสองคนนั้นเดินไปรอที่รถ พอชายนิรนามหันหลังเดินพ้นจากวงพี่ซันก็ดึงปืนออกจากเอว
กระชากลำกล้องขึ้นไก “เผื่อไว้” แกว่า
ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเพื่อเดินตามชายสองคนนั้นไปที่รถ
ระหว่างที่พี่ซันกำลังเดินออกจากกลุ่มไปไม่กี่ก้าว แกหยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
ค่อยๆเอี้ยวตัวหันกลับมาช้าๆ สีหน้าและแววตาไม่ค่อยสู้ดี “ถ้าผมเป็นอะไรไป ฝากลูกสาวผมด้วยนะ”* สายตาและน้ำเสียงเหมือนหาใครสักคนรับปากตามคำขอ
“ครับพี่” ผมเอ่ยรับ
เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อยี่ห้อ โตโยต้า
สีขาวยกสูงดังขึ้น ขยับถอยหน้าถอยหลังอยู่สองสามทีก็ค่อยๆมุ่งหน้าไปทางเนินที่เห็นลิบๆ
สักครู่แสงไฟหน้ารถก็หายไปในความมืด เสียงเครื่องยนต์ไกลออกไป ไกลออกไป
จนไม่ได้ยินแล้ว พวกเรามองหน้ากัน ผมแง้มปากถุงย่ามขึ้นดู
เห็นปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในนั้นจริงๆ ในใจคิดว่า คงไม่มีอะไรเลวร้าย แต่อีกมุมก็คิด ถ้าไม่มีรถติดหล่มอยู่จริง
หรือถ้าเขามีปืนมากกว่าหนึ่งล่ะ เขาอาจแค่อยากได้รถกระบะสักคัน ในพื้นที่ที่ไม่มีใครรู้
ไม่มีใครเห็น พวกเรารอคอยอยู่นาน ในสถานการณ์นั้นมันเหมือนนานแบบข้ามวันข้ามคืน
จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน เราเริ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
แสงไฟหน้ารถสาดเป็นลำพ้นขอบเนินนั้น สังเกตเห็นเป็นรถของพี่ซัน อีกสักครู่ก็มีแสงไฟหน้าของรถอีกคันหนึ่งสาดตามมา
ไม่นานรถจี๊บคันนั้นก็ถูกขับมาจอดไว้คู่กัน กลุ่มสนทนาเริ่มเสียงดังขึ้นอีกครั้ง รู้สึกโล่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ถามไถ่ก็ได้ความว่า พี่สองคนนั้นเป็นถึงผู้บริหารระดับใหญ่โต
และกว้างขวางพอสมควรในจังหวัด ขับรถมาเที่ยวและคิดว่าจะขึ้นมาพักแรมบนตำแหน่งที่เรากางเต๊นท์อยู่นี้เหมือนกัน
แต่รถเกิดติดหล่มเสียก่อน จะเดินกลับไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ก็ไกลมาก(ร่วม20ก.ม.ในพื้นที่ป่า)
คงเดินไม่ไหว อีกทั้งฟ้าก็มืดแล้ว จึงตัดสินใจเสี่ยงเดินขึ้นเขามาหาคนช่วย
ซึ่งก็มาเจอพวกเราพอดี
รุ่งเช้า พวกเราได้ชิมข้าวต้มเครื่องร้อนๆฝีมือพี่เจ้าของปืนแก้แฮงค์
อิ่มอร่อยไปตามๆกัน ผมได้ยินพี่เขาคุยกับพี่ซัน ขอบอกขอบใจยกใหญ่ โดยที่พี่เขาก็ไม่รู้ว่า
มาโนช พุฒตาล คือใคร รู้จักแต่ ดำรง.
*ไม่นานนี้ในงานเปิดตัวรายการวิทยุออนไลน์ของพี่หมึก วิโรจน์ ควันธรรม ในขณะที่พี่ซัน และใบไม้(ลูกสาว ซึ่งโตเป็นสาวแล้ว)ยืนคุยกับผมเพื่อรอแสดงดนตรีในลำดับต่อไป บังเอิญมีแขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเชิญพี่ซันออกจากกลุ่มเพื่อไปสนทนา พี่ซันหันมาบอกผมว่า "ตั้น ผมฝากลูกผมด้วยนะ" ผมอมยิ้มรับคำ นึกถึงเหตุการณ์ในป่าขึ้นมาตงิดตงิด